Backpack ดอยหลวงเชียงดาว – ถ้ำเชียงดาว ด้วยเงิน 2,000 บาท

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

:: เวลาเพียง 3 ชั่วโมง ที่จะเตรียมความพร้อมกับทุกอย่างสำหรับทริปนี้
เรากำลังจะเดินทางไปพิชิตยอดเขาที่เรียกว่า “เชียงดาว” และนั่นคือเป้าหมายหลัก
ไม่ว่าจะเป็นรถขาไป ลูกหาบ รวมไปถึงการติดต่อเจ้าหน้าที่
เรา confirm ภายในไม่กี่ชั่วโมงก่อนเดินทางทั้งสิ้น โชคดีที่เพื่อนบิ๊กและน้องสาวที่น่ารักของผม
ได้ติดต่อลูกหาบและเจ้าหน้าที่ไว้คร่าวๆ แล้ว แต่มันก็ไม่พร้อมซักเท่าไหร่
เพราะทุกอย่างมันดูเร่งรีบแบบโคตรๆ อิบิ๊กมันอยู่กรุงเทพฯ แสตนบายด์อยู่แล้ว
ส่วนน้องออมก็เพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่เพื่อมาเคาน์ดาวน์กับพ่อแม่
และเด่ววันนี้ก็ต้องนั่งบัสสิบชั่วโมงขึ้นไปอีก พี่พริกก็อยู่หัวหิน ต้องขับรถกลับชลบุรีเพื่อไปเก็บเสื้อผ้า
และขับรถย้อนกลับเข้ามาในตัวกรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อมาขึ้นรถที่ บขส.
ตัวผมเอง เพิ่งลงมาจากเครื่องบินสดๆ ร้อนๆ เพิ่งแบคแพ๊คไปจีนมา
เป็นไงหล่ะ ทริปนี้ ชิคสึสๆ ๕๕๕๕

ไล่จากซ้ายไปขวา : พี่พริก บิ๊ก ไม น้องออม

:: ช่วงปีใหม่ ตั๋วแม่มเต็มหมด เราไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมาก
จริงๆ แล้ว การเดินทางไปดอยหลวงเชียงดาวง่ายนิดเดียวครับ จองรถ กทม. – บ้านท่าตอน
แล้วลงข้างทางซอยทางเข้า ดอยหลวงเชียงดาวได้เลย
พี่ๆ ที่เราติดต่อไว้เค้าจะมารับเราเองหละ ข้อมูลส่วนนี้ เด่วจะทิ้งท้ายไว้ให้
แต่ว่ารถสายนี้มันเต็มไปแล้ว แพลนตายเอาดาบหน้าจึงเกิดขึ้น
เราจองรถไปเชียงใหม่ก่อน พอถึงเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที
รถรอบห้าทุ่มจาก กทม. ขึ้นเชียงใหม่ในวันนั้น ก็หมุนราวๆ 10 ชั่วโมง จนมาถึงเชียงใหม่ตอน 8 โมงกว่าๆ
และเมื่อเท้าทั้งสองข้างสัมผัสพื้นดินที่เรียกว่าเชียงใหม่
เราก็ถามราคารถเหมารถสองแถวไปส่งเชียงดาว เค้าจะเอา 1200 บาท
รู้สึกว่าแพงไป หารถขาไป อ.ฝาง ก็กลัวจะช้า งั้นเราแว๊นซ์มอเตอร์ไซต์กันไปไหม
มันไกลขนาดไหนอะไรยังไง ก็ไม่ไกลมากใช่มั้ย เออ งั้นไปหามอไซต์มาคล่อมกัน ๕๕๕๕

:: ก่อนที่เราจะไปเช่ามอเตอร์ไซต์ เราก็ไปหารถกขากลับ กทม. กันตกรถไว้ก่อน
เพราะเช้าวันจันทร์ พวกเราต้องกลับไปทำงานให้ทัน แต่ก็ไม่ซีเรียสถ้าไม่มี
ถึงตอนนั้นจริงๆ ก็โบกรถ แต่โชคดีที่ยังมีรถเสริมมาให้เราได้จองตั๋วขากลับ
ค่าตั๋วขาไปกับค่ากลับแม่มเท่ากันเลย 563 บาท (ถ้าจำไม่ผิด)
ขาขึ้นมากับ บขส.999 (ป.1)  ขาลงไปกับรถเสริมของไรไม่รู้จำไม่ได้
เอาหล่ะ ตัดไปที่ร้านเช่ามอไซต์ ร้านแรกที่เราเข้าไปคือ smile ที่เข้าไปเพราะราคาถูก
ค่าเช่าที่นี่จะอยู่คันละ 200 บาท โชคร้ายทีรถหมด เราเลยไปใช้บริการของ bikky แทน
ก็ทำตามปกติของการเช่ามอไซต์ คือยื่นบัตรประชาชน เซ็นๆๆ แล้วก็จ่ายตังค์
ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ที่ biggy จะตกคันละ 250 บาทต่อวันครับ
แนะนำให้หารถ 125 cc นะครับ จะได้ขับมันส์ๆ กันไปเลย > <

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเช่ามอเตอร์ไซต์
http://www.bikkychiangmai.com/store/home/en.html

:: จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาว
มีระยะทางราวๆ 75 กิโลเมตรครับ เส้นทางก็ยึดทางไป อ.แม่ริม ตามถนนหมายเลข 107 มาเรื่อยๆ เลย
ช่วงเข้าแม่ริมอันตรายหน่อย เพราะรถเยอะมาก แต่หลังจากนั้นก็ขับสบายเพราะรถน้อย
พวกเราขับรถอย่างเริงร่าสบายใจ และไม่นานนักก็ต้องหยุดพัก เพราะโอนพี่หมวดเรียก
ตำรวจเชียงใหม่ต้องขอบอกว่าเยอะมากครับ แม้ว่าเราจะใส่หมวกกันน๊อค เค้าก็เรียกครับ
ผมพอจะรู้แล้วหละว่าทำไมเค้าถึงเรียก เค้าจะเรียกมอไซต์ที่มีสติ๊กเกอร์รถเช่าครับ
เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยว เค้าจะเช็คว่าเรามีใบขับขี่รึป่าว ๕๕๕ ไม่ได้แดรกกกกกกกก กุหรอก
กุมีเว้ยยย แต่เอิ่ม…. น้องครับ บัตรมันหมดอายุไปสองปีแล้วนะครับ เชรี่ย กุยอมแพ้ ๕๕๕
แต่แล้วเส้นทางนี้ก็มีช่วงมันส์ๆ อยู่นะ คือหลังจากแม่แตงไปถึงเชียงดาว
โฮฮฮฮ โคตรชอบทางแบบนี้เลย ๕๕ ปาดโค้งไปปาดโค้งมา มีคนยกนิ้วโป้งให้ตั้งสองคนแหละ
ไม่รู้ว่าชมหรือด่า ๕๕ แต่ไม่ช้าไม่นาน ชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางมาถึง ที่ทำการฯ กันแล้วหล่ะครับ : )

:: เมื่อไปถึงที่ทำการฯ สิ่งหลักๆ ที่เราจะต้องทำก็มีดังนี้ครับ ทำเรื่องเข้าเขตรักษาพันธุ์
โดยจะต้องเซ็นเอกสารการจำนำขยะ จำนวนถุงพลาสติก จำนวนขวดน้ำ บลาๆๆ
โดยในส่วนนี้จะมีค่าเข้าเขตรักษาพันธ์ฯ 40 บาท ค่ากางเต้น 40 และค่ามัดจำขยะ 300 บาทต่อกรุ๊ป
พอลงมาก็เอาขยะมาโชว์เพื่อแลกเงินคืนครับ การขึ้นดอยหลวงฯ
ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางขึ้นไปครับ แค่มีลูกหาบหนึ่งคน เจ้าหน้าที่ฯ ก็อนุญาติให้ขึ้นไปได้แล้ว
โดยราคาลูกหาบที่นี่จะอยู่ทีวันละ 500 บาท ต่อวันต่อคน
ผมติดต่อผ่านทางลุงจรูญนะครับ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 085 – 962- 8358

:: สำหรับการเดินทางขึ้นไปยังจุด Start สามารถขับรถส่วนตัวขึ้นไปเองได้เลยครับ
แต่ตอนผมไปผมไม่รู้ เห็นเค้าบอกว่าต้องจ้างรถกระบะขึ้นไป ก็คิดว่าทางจะไม่ดี แต่ที่ไหนได้ ราดยางตลอดทางครับ
สรุปว่า ถ้าเอารถไป ก็นัดลูกหาบไว้ที่จุดสตาร์ทได้เลย ไม่ต้องเสียค่าเหมารถขึ้นจุดสตาร์ทเหมือนพวกผม
ในส่วนนี้จะแบ่งเป็นสองราคาครับ การขึ้นไปจุดสตาร์ทของดอยหลวงเชียงดาว จะมีอยู่สองทาง
คือ ทางเด่นหญ้าขัดและปางวัว ความแตกต่างของทั้งสองที่คือ ระยะทางจากเด่นหญ้าขัดไปถึงยอดดอย จะมีระยะทาง 8.5 km
ทางช่วงแรกจะไม่ชัน แต่ทางปางวัวระยะทางอยู่ที่ 6 km แต่ทางช่วงแรกชัน
ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองพิจารณาดูแล้วกันว่าอยากขึ้นหรือลงทางไหน ราคารถกระบะที่ให้ไปส่งทางเด่นหญ้าขัดอยู่ที่ 1200 บาท (ขาเดียว)
ส่วนปางวัว 600 บาท (ขาเดียวเหมือนกัน) พวกเรามากันแบบชิคๆ เราเลือกขึ้นและลงทางปางวัวกันแบบคูลๆ แม่มเลย
ชันนิดชันหน่อยจะเป็นไรไป เมื่อคุยทุกอย่างเรียบร้อย ก็ขึ้นหลังกระบะไปปางวัวกันเลย…

หมายเหตุ : เส้นทางส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวขาจรคือ ขึ้นทางเด่นหญ้าขัด และลงทางปางวัวครับ

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสอบถามการขึ้นดอยหลวงเชียงดาว
https://goo.gl/MuyGb8

:: เอาหล่ะ หลังจากนี้ คือการเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวแล้วหล่ะครับเพื่อนๆ
จากปางวัวไปถึงยอดดอยระยะทางราวๆ 6 km สองข้างทางเป็นป่าสลับหินปูน
ช่วงแรกๆ จะชันและลื่น ช่วงกลางๆ จะชันนิดหน่อยแต่เดินสบาย
ถามว่ามีทางราบมั้ย ตอบว่าไม่ค่อยมีครับ ดิ่งขึ้นลูกเดียว
โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย ถือว่าเ_ึ้ยสุดๆ เลยก็ว่าได้ เมิงจะชันไปหนายยยย อิฮ่ารากกก!
ระหว่างทางจะมีพญาเสือโคร่งด้วยนะครับ สวยงามมาก มีป่ากล้วย
มีฟอสซิลหอยให้ได้ทราบถึงอดีตที่ผ่านมา ว่าข้างบนนี้เคยเป็นทะเลมาก่อน
ปกตินักท่องเที่ยวจะใช้เวลาขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง
เราถ่ายรูปเล่น พักบ้าง นั่งเม้าส์ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ เย็นๆ หนาวๆ
พวกเราถอดเสื้อเดินขึ้นเขากันแบบคูลๆ และมีสเต็ปเท้าแบบชิคลๆ
เดินกันไปเรื่อยๆ ชมวิวและจิบเบียร์ที่อยู่ในมือไปอย่างพรางๆ
ไม่ช้าไม่นาน 5 ชั่วโมง ก็ขึ้นมาถึงบริเวณ Base camp

:: เมื่อถึง base camp เพื่อนใหม่ของเราที่ชื่อหมาย (ลูกหาบ) ก็อาสาการเต้นท์ให้
แล้วบอกให้เรารีบขึ้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินครับ
ถึงช่วงสุดท้ายของการเดินเขาวันนี้แล้ว เราเดินไปอย่างตื่นเต้น เพื่อที่จะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่ข้างหน้า
ระหว่างทางมีหินปูนที่ผุดออกมาเป็นแท่งๆ เต็มไปหมด ทางเดินที่เคยเป็นหญ้ากลับกลายเป็นฝุ่นดินเพราะนักท่องเที่ยว
ดอกไม้ข้างทางที่ว่าสวย ก็ดูจะเหี่ยวเฉาเพราะถูกเชยชมจากร้อยพันสายตา รวมถึงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป
สภาพดอยหลวงเชียงดาวที่ผมเห็น มันไม่ค่อยสมบูรณ์เหมือนในรูปซักเท่าไหร่
แต่ทว่าภาพที่ผมเห็นตรงหน้า มันทำให้ผมลืมไปเลยว่าสถานที่แห่งนี้ คือประเทศไทย

:: เราอยู่ข้างบนนั้นนานพอสมควร นานพอที่จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ลงจากยอดเขาในวันนั้น
ยอดเขาในวันนั้นมันหนาวมากครับ หกโมงกว่าๆ ก็ปาไป 6 องศาซะแล้ว เราอยู่เป็นกลุ่มสุดท้าย
กลุ่มสุดท้ายจนไม่เหลือแสงให้ได้เยือนโฉมทิวเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปเพียงไม่กี่สายตา
เราทิ้งถ่ายด้วยการถ่ายรูปป้ายพิชิตดอยหลวงฯ ไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินลงเขาไปยัง Base Camp

:: เรามากันอย่างง่ายๆ มากันแบบยังไงก็ได้ เรามีแค่มาม่าคนละคัพ
น้ำเปล่าคนละ 2 ขวด ขวดหนึ่งไว้กิน ส่วนหนึ่งไว้ใช้ และที่ขาดไม่ได้
คือเบียร์คนละ 2 กระป๋อง ไฟแช๊คหรือเตาแก็สอะไรก็ไม่มีครับ
กะขึ้นมาหามิตรภาพระหว่างทางข้างบน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ ซะด้วย
มีพี่คนหนึ่งบริจาคมาม่าซองให้เรามาเพิ่ม 6 ซอง ให้ยืมหม้อและเตาแก๊สปิคนิค
เราต้มมาม่ากินกันอย่างอร่อย ท่ามกลางแสงบางเบาของดวงจันทร์ในค่ำคืนนั้น
นั่งพักเม้าส์มอยกันซักครู่ ก็ทนกับความหนาวไม่ไหว ต้องมุดหัวกลับไปในเต้นกัน
นอนไม่หลับจริงๆ ครับ อุณหภูมิต่ำสุดในช่วงดึกในวันนั้นอยู่ที่ -2 องศา
นอนดิ้นไปดิ้นมา เที่ยงคืนกว่าๆ ก็ได้ยินสัตว์หยอกล้อกัน

:: เห้ยยยยย… หรือจะเป็นเลียงผาอย่างที่ไอ่หมายมันบอกไว้ เพราะหมายบอกว่า
บริเวณตรงที่เรากางเต้นท์ ดึกๆ จะมีเลียงผามาเดินหาของกิน
แม่มต้องใช่แน่ๆ ผมค่อยๆ ตื่นมาแง้มซิบเต้น และมองลอดผ่านตาข่ายเต้นสีดำออกไป
เห้ยยยยยยยยยยย…. ใช่จริงๆ ด้วย นิมันสัตว์หายากเลยนิหว่า
ผมเห็นเลียงผาสามตัวกำลำวิ่งอยอกล้อกัน พรางทำเสียง ฝุด ฝุ๊ด ฝุ๊ด ๆๆๆ
มันหยอกล้อกันอย่างสนุก ผมมองไม่ชัดเท่าไหร่ เลยรีบหาไฟฉายและปลุกน้องออมให้ขึ้นมาดู
แต่น้องออมก็ไม่ยอมขึ้นมาดู ผมค่อยๆ เปิดไฟฉาย และกำลังจะส่องไปที่มัน
แต่ให้ตายเถอะ เหมือนมันรู้ว่ามีคนเห็น มันวิ่งหนีเข้าป่ากันไปทั้งสามตัว
ผมนึกเสียดายที่เปิดไฟฉาย แต่ไม่นานหนัก เสียงตอบกลับมาจากป่าก็ดังขึ้น
แอ๊งค์ แอ๊งค์ แอ๋งงงค์ ผมเลยลังเลและสงสัยอยู่ทั้งคืน แต่ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้
สุดท้ายก็รู้ว่าเมื่อคืนแม่ม… เป็นหมาของเต้นท์ข้างๆ ไอ่สึส!

:: หลังจากที่ตื่นอย่างสลึมสลือ ก็ไม่รอช้าที่จะไปดอยกิ่วลม เรานัดกันตี 5 ขาต้องเดิน
แต่ให้ตายเถอะ นิมันจะเจ็ดโมงแล้ว ทำไงได้ เมื่อคืนเลียงผากวนกุทั้งคืนเลยอิเชรี่ย ๕๕๕
เราค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ พร้อมแรงกำลังที่ถูกชาร์จกันมาทั้งคืน ไม่นานนักก็ขึ้นมาถึงจุดกิ่วลม
แต่ช่วงที่เราไปเหลือพืชพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ไม่กี่ชนิดให้ได้ชื่นชมครับ มันแห้งเหี่ยวเฉาตามกาลเวลา
เวลาที่ดีที่สุดสำหรับเชียงดาวคือ กลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคมครับ
ช่วงนั้นจะพีคโคตรๆ ดอกไม้สวยๆ หายากเพียบ โดยเฉพาะดอกเทียนนกแก้ว
ที่มีที่เดียวในประเทศไทย บนดอยหลวงเชียงดาวแห่งนี้…

:: หมายเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่เรามาเป็นช่วงฟ้าเปิด ไม่มีหมอก วิวจะสวยคนละแบบ
ถ้ามาในช่วงมีทะเลหมอกก็จะสวยในอีกแบบหนึ่ง หมายบอกว่า ไว้มาอีกปีหน้าสิ
เราแลกเบอร์กับหมายเพื่อนสนิทคนใหม่ในทริปนี้ของเรา แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน ๕๕๕
เราเดินกลับลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำเวลา เพราะจะไปเที่ยวถ้ำเชียงดาวกันต่อ…
พอมาถึงเต้นท์ ผมก็ชวนเพื่อนๆ ไปถ่ายรุปข้างบนกันอีกครั้ง ผมอยากได้รูปที่เต้นคู่กับดอยหลวงเชียงดาว
มีพี่พริกขอร่วมก๊วนด้วย ระหว่างที่เราเดินขึ้นไปบนยอดดอยหลวงเป็นครั้งที่สอง
น้องออมกับเพื่อนบิ๊ก ก็ต้มมาม่ารอเราอยู่ข้างล่างพรางฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ

:: ไม่กี่นาที ผมกับพี่พริกก็ขึ้นไปถึงข้างบน แล้วก็ตะโกนกลับลงมาว่าถึงแล้ววน้าาาาา
พวกเราแบกเต๊นท์และกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเพื่อจะมาถ่ายรูปชิคๆ คูลๆ กันครับ
หลังจากถ่ายภาพเสร็จออกมา ก็คิดว่ามันสวยดี ไม่ได้จะไปลบหลู่หรือฝ่าฝืนกฏระเบียบใครเค้า
แต่สุดท้ายภาพนี้ก็มีปัญหาจนได้ เพื่อนๆ หลายกลุ่มออกมาเตือนว่าห้ามเอาเต้นท์ขึ้นไปนอนข้างบน
โอเคครับ ผมคงไม่ไปกางนอนข้างบนนั้นหรอก เพราะพื้นเรียบให้นอนสบายๆ ไม่มีเลย
ตอนกลางคืนลมก็แรง อุณหภูมิก็โคตรต่ำแทบจะติดลบทุกคืน ถ้ามีปัญหาก็คงจะหาคนมาช่วยยาก
เราแค่เอาเต้นท์ไปเป็นพร๊อพถ่ายรูปกันเฉยๆ ครับ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็มีพี่ๆ กลุ่มอนุรักษ์มาเตือนอีก
ว่าแค่ไปกางถ่ายรูปก็ห้าม ห้ามเด็ดขาด เอาหล่ะ คราวนี้เรารู้แล้ว ว่าบนยอดดอยหลวงเชียงดาว
เค้าห้ามกางเต้นท์ ไม่ว่าจะกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ขีดเส้นใต้สีแดงตัวโตๆ บวกกับใส่ไฮไลท์ให้เลยนะ
“ห้ า ม ก า ง เ ต๊ น ท์ บ น ย อ ด ด อ ย ห ล ว ง เ ชี ย ง ด า ว” ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

หมายเหตุ : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้และดูภาพประกอบ
รวมไปจนถึงศึกษาข้อมูลสถานที่เพิ่มเติมกันเองด้วยใน google ก่อนไปเที่ยวด้วย

:: หลังจากลงมาก็รีบเก็บเต้นท์ และรีบกินมาม่าๆ ที่ถุกเตรียมไว้ โชคดีที่มีมาม่า 6 ซองเหลือไว้
ถ้าเกิดไม่มีใครเอามาให้เลย เราคงหิวโซปางตายเป็นแน่ จำได้ว่าตอนนั้นมันเกือบ 10 โมงเช้า
แดดแรงมากๆ แต่อากาศนิโคตรจะเย็นเลย ระวห่างที่เรากินมาม่า
บิ๊กกับน้องออมก็ทะยอยเก็บของในเต้นไปจนกระทั่งทุกอย่างพร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง

:: ไม่ช้าไม่นานเราก็มาถึงหน้าทางเข้าถ้ำเชียงดาว เออลืมบอกไป ขาลงเราฟิตมาก
ใช้เวลาลงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งแบบใสๆ ต้องบอกว่าวิ่งลงกันครับ สนุกดี
เราพักทานข้าวเที่ยงกันที่หน้าถ้ำเชียงดาว ก่อนที่จะฝากกระเป๋าอันหนักอึ้งของเราเอาไว้ที่ร้านค้า
และเดินเข้าไปชมถ้ำเชียงดาวแบบบิคๆ ทำหน้าคูลๆ ทำตัวโง่ๆ แบบไม่รู้ประวัติอะไรมาเลย ๕๕๕

:: ค่าใช้จ่ายในส่วนของการเข้าไปชมถ้ำ จะมีค่าเข้าที่คนละ 20 บาท
ค่าตะเกียงส่องไฟตะเกียงละ 100 บาท หรือถ้ามีไฟฉายก็เอามาเองก็ได้
สุดท้ายต้องมีไกด์นำทางเข้าไป จะเป็นแม่บ้านและเป็นคนในชุมชนที่นั้นครับ
เค้าบอกว่า ขั้นต่ำต้องให้ 100 บาท เราก็เกรงใจอยากจะให้มากกว่านั้น
แต่ก็นะ เด่วคืนนี้ต้องไปต่อทีอื่น เราเลยให้คนในชุมชนไป 100 บาทเท่านั้น

:: ข้างในถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อย มีพระพุทธรูปที่ถูกยึดไว้ตามผนังถ้ำชั้นบน
มีพระนอน พระหลายปางค์เลยก็ว่าได้ ข้างในสุดก็จะเป็นศาลของเจ้าหลวงคำแดง
ซึ่งผมก็เพิ่งจะมาศึกษาประวัติทีหลัง หลังจากที่กลับมาจากทริปๆ นี้นี่แหละ
สำหรับเรื่องนี้ก็ไปศึกษากันเอาเองนะครับ เรายังคงเดินต่อ แต่เดินต่อไปเรื่อยๆ

:: เออ ลืมบอกไป ในถ้ำมันจะมีอยู่สองส่วนครับ ส่วนมือดกับส่วนสว่าง
เพื่อนๆ สามารถที่จะไม่เข้าส่วนมืดก็ได้ ซึ่งส่วนมืดนี่แหละ ที่จำเป็นจะต้องมีไฟฉาย
หรือมีตะเกียง และเสียค่าไกด์นำทางเข้าไปครับ ยังไงก็ลองพิจารณาดูหน้างานแล้วกัน

:: เราใช้เวลาในถ้ำเชียงดาวเกือบๆ 1 ชั่วโมงครับ ข้างในร้อนมากกกก เหงื่อออกเหมือนเล่นสงกรานต์เลย
ผมว่าถ้ำเชียงดาวสวยดีนะ มันดูมีอะไรอะ ผมว่ามันคือถ้ำใต้น้ำสมัยก่อนเลยหล่ะ
มันมีร่องรอยของชั้นน้ำ ร่องรอยหินที่เป็นเหมือนปะการังเต็มไปหมด
ผมอดที่จะคิดไม่ได้เลยว่า สมัยก่อนที่แห่งนี้มันคงจะเป็นมหาสมุทรมาก่อนเป็นแน่แท้
สำหรับคะแนนเต็มสิบของถ้ำเชียงดาว ผมให้ 6/10 ไปเลยครับ น่าสนใจมากๆ

:: หลังจากที่ออกมาจากถ้ำเชียงดาว พวกเราก็แว๊นส์ต่อเข้าเมืองเชียงใหม่เลยครับ
ไปทำตัวชิคๆ ในเมืองคูลๆ กันแบบเต็มเหนี่ยวในเมืองเชียงใหม่ครับ
ทริปนี้ก็จบลงแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนครับ เรื่องราวมันมีเยอะกว่านี้ครับ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากเอามาแชร์ แต่ถ้าเอามาแชร์ก็กลัวว่ามันจะเตลิดเถิดเทิง
ยังไงก็ฝากเอาไว้นะครับ สำหรับคนที่จะไปดอยหลวงเชียงดาว
ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลโดยรอบและข้อมูลเบื้องต้นก่อนไปให้ดีครับ
ที่นี่ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติ แต่เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนไป และก็เที่ยวด้วยความไม่ประมาท อย่างระมัดระวังนะครับ : )

::::::::::::::::::::::::: บรีฟค่าใช้จ่ายและการเดินทางแบบชิคๆ ให้ดูนะ :::::::::::::::::::::::::

1. เวลาไปก็ไปกับ บขส. 999 นั่นแหละ ไปแล้วก็ไปลงหน้าทางเข้าดอยหลวงเลย ค่ารถตีให้ไปกลับ 1200 บาท ไม่เกินนี้
แต่ถ้าไปแบบนี้ก็ต้องยอมเสียค่ารถขึ้นไปจุด start นะ เด่นหญ้า 1,200 บาท ปางวัว 600 บาท เลือกเอาแล้วกัน

2. ถ้าจะนั่งรถไปเชียงใหม่เหมือนพวกผมก็ได้ ก็ตัดค่ารถกระบะขึ้นจุด start ทิ้งไป เด่วเราขับไปที่จุด start เอง
ส่วนนี้จะเสียค่าเช่ามอไซต์ประมาณ 2 วัน วันละ 250 บาท ค่าน้ำมันไปกลับที่นี่ 140 บาท ก็เหลือเฟือแล้ว
ไปกันสองคน ก็หารๆๆๆ จบ

3. ในส่วนของการทำเรื่องขึ้นยอดดอย ก็จะมีค่าขึ้น 40 บาท ค่ากางเต็นท์ 40 บาท ละก็ค่ามัดจำขยะอีก 300 บาท
แต่พอลงมาเด่วก็ได้ค่ามัดจำคืน

4. ที่นี่ถ้ามีลูกหาบนำทางแล้ว ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางครับ เอาลุกหาบไปคนเดียวก็พอ
ลูกหาบที่นี่อยู่ที่วันละ 500 บาทต่อวันต่อคน ไป 2 วัน 1 คืนก็หมดแล้วครับที่นี่ ยกเว้นจะไปถ่ายรูปเล่น

5. ลงมาก็เข้าถ้ำเชียงดาว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็เหมือนที่พิมพ์ไว้เด็ะ ค่าเข้า 20 บาท
แต่ถ้าจะเข้าส่วนมืดก็ต้องเสียค่าไกด์ชุมชนขั้นต่ำ 100 บาท และตะเกียงอีก 100 บาท
หรือจะเอาไฟฉายเข้าไปเองก็ได้ เค้าไม่ว่าอะไร

สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตรงนี้นครับ
ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้

reviewed by : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

Leave a Reply

*