ตะลุยเชียงใหม่ 2 วัน 1 คืน!!!

สวัสดีชาวบลูทุกคนครับ…
อาทิตย์ที่แล้วกระแดะอยากไปดมกลิ่นหมอกที่เชียงใหม่ ก็เลยหาข้อมูลตามเว็บไซต์ ว่าที่ไหนที่มันใกล้ตัวเมืองและกำลังเป็นที่นิยมที่สุด
ที่สำคัญ ไปแบบถูกๆ ยาจกนิดๆ ๕๕ เงินไม่ค่อยมีเว้ยยย > < เลยตีงบว่า ห้ามเกิน 2,500 บาท และก็แพลนกำหนดการกันคร่าวๆ ประมาณนี้

Day 1
– คุ้มเสือ
– บ้านโต้งหลวง กะเหรี่ยงคอยาว
– ม่อนม่วน
– โครงการหลวงหนองหอย
– สวนองุ่นเอเดน
– ม่อนแจ่ม
– น้ำตกตาดหมอก

Day 2
– บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน
– อช.ดอยสุเทพดอยปุย
– บ้านม้งดอยปุย
– พระตำหนักพูพงค์ราชนิเวศ
– ดอยสุเทพ
– Buffet เสต็กปลาริมแม่น้ำปิง

Day 2 นี่ต้องตรบมือให้ชาวบลูเลย เพราะผมตั้งกระทู้คำถามไป ก็มีชาวบลูส่งแผนที่และแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาให้ผม ผมได้เอามาใช้ด้วยนะ ขอบคุณพี่อีกทีครับ ^_______^

เป็นไงบ้างแพลนของผม เจ๋งปะหละ ๕๕๕๕๕ มาดูกันต่อว่าจะทำได้รึป่าว เริ่มกันเลย!!!

เราจองตั๋วรถ ป.1 กทม. – เชียงใหม่ ในราคาใบละ 606 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 กว่าชั่วโมงครับ
ก่อนไปนี่ปัญหาเยอะมาก เกือบไม่ทันเวลาขึ้นรถ โชคดีที่ได้พี่ Taxi ขาโหดจอมแซงซ้ายย แม่มเอ้ย สุดตรีนขอบอก
ขับอะไรของพี่แกก็ไม่รู้ จากหลัง ม.รังสิตตอนรถติด ไปตรงท่ารถแถวฟิวเจอร์ ใช้เวลาแค่ 10 กว่านาที (OMG)
นี่ให้ tip พี่แกไปร้อยหนึ่งเลย… พร้อมคำชม ตั้งแต่ขึ้นรถ จนเก็บกระเป๋าออกจากรถพี่แก 5555555555

ในตั๋วบอกรถออก 21.00 น. กุนิมา 21.00 น.เลยคับ Backpack เต๊นท์ ocean pack ขาตั้งกล้อง กระเป๋ากล้อง ฯลฯ
นี่แบกๆ วิ่งๆ กันมา พอเข้ามาถึงข้างในชานชลา “โอ้วแม่เจ้า”  คนแบบเยอะสึส! เพราะเป็นวันออกพรรษา…

ให้ทาย รถมากี่โมง……???

Tik
Tok
Tik
Tok
Tik
Tok
Tik
Tok

กริ๊งงง…………………………. หมดเวลา

ยิ้มมาสี่ทุ่มครึ่ง………. โอ้วยยยย จะบ้าตาย.. ยืนรอนั่งรอจนเอ็นยึด นี่ถ้ามาช้ากว่านี่ 0.000012458 วินาที ผมว่าจะเดินกลับบ้านละ 555
แต่โชคดีที่รถมาพอดี

หลังจากนั้นก็เก็บข้าวของขึ้นรถ และก็หลับยาวเลยเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน….

เช้าวันแรกของ Trip

8 โมงเช้าวันเสาร์ รถบัสมาจอดที่อาเขตแห่งที่ 3 ผมกับแฟนรีบลงจากรถและติดต่อโทรหาหัวหน้างาน และบอกว่าติดธุระ ๕๕๕๕๕ ขำหว่ะ
(อย่าลอกเลียนแบบนะครับ ไม่ดีเอามากๆ) จากนั้นก็โทรหาบริษัทเช่ารถมอเตอร์ไซต์ ตกลงราคากันได้ราคาคันต่อวัน ราคา 250 บาท
เช่า 2 วันจ่าย 500 พร้อมใช้ บัตรประชาชนเป็นหลักฐาน…

(เพิ่มเติมสำหรับเพื่อนๆที่อยากจะเช่ารถนะครับ มองเข้าหาด้านหน้าอาเขตแห่งที่ 3 มองไปทางขวามือ จะเจอ 7-eleven ร้านจะอยู่ติดๆ กับ 7
ชื่อร้าน Bikky นี่ link ข้อมูลร้านครับ http://www.bikkychiangmai.com/store/ )

หลังจากนั้นก็ซ้อนรถกันไปสองคนตามประสาวัยรุ่นคับ แว๊นซ์กระจาย จาก อาเขตไปแม่ริม และจากแม่ริมไปสถานที่ท่องเที่ยวที่แรก…

มาถึงละ “คุ้มเสือ” : ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.tigerkingdom.com/

คุ้มเสือ เป็นคล้ายๆ สวนสัตว์เล็กๆ แต่เน้นเสือครับ เสือแม่มเชื่อง เชื่องมากๆ เชื่องเหมือนหมาที่บ้านเลย กลิ้งซะน่ารัก แต่พออ้าปากที
กุนี่ตัวสั่นตกใจกลัวทุกครั้ง ๕๕๕ (ตลกตัวเอง กลัวจริง ในใจก็นึก ถ้ากุมาเชียงใหม่ และกุมาตายที่นี้นะ โฮฮฮ เมิงซวยมาก ๕๕ )

เข้าไปข้างในก็จะมีพนักงานมาต้อนรับครับ บรรยากาศดีมาก มี water ball ให้เล่นด้วย แต่เราไม่สน เราสนเสือ เดินหน้ามุ่งตรง ไปดูราคา
package ค่า้เข้าไปดู โอ้ววว แม่…. เจ้า…. ราคาถูกที่สุดคือ 460 (เสือตัวใหญ่) ส่วนเสือตัวน้อยๆ น่ารักๆ ที่เหมือนแมวบ้านพวกเราแพงสึส!
ความคิดจะมาเที่ยวชิวๆ ยาจกๆ ของผม นั้นคือเลิกคิดไปเลย ๕๕๕

สุดท้าย ไหนๆ ก็แพลนมาไว้แล้ว ก็เลยยอมเสียสละ แกะเงินในถุงยามาคนละ 460 เพื่อเข้าไปเป็นตัวล่อ ให้เสือแดรกก เอ้ยย!!!
เข้าไปถ่ายรูปเล่นกับเสือนะครับแหม่….

ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ถ่ายๆ ลุ้นๆ กลัวมันกัด ๕๕๕

เพื่อนผมเอง ไม่เจอกันนาน 5555


เก๋ๆๆ ค๊าาาาาาาาาาาา > <
ว่าไงเพื่อน ไม่เจอกันนาน สบายดีนะนาย


มาๆ มาถ่ายรูปเล่นกัน เก็บไว้เป็นที่ระลึก ps. สาสสส ไม่มองกล้องกุอีก

หนูง่วงค๊าาาา ๕๕๕๕ เด๋วสะเดิดๆ หางปัดหน้า

เป็นไงบ้าง คุ้มเสือเชียงใหม่ พอไหวป่าวทุกคน ขอเสียงหน่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย….

โอเค ไปกันต่อ…

พอเราเดินออกมาจากรังเสือ ฝนก็ดันตก ไม่ตกธรรมดานะ ตกมาจากฟ้า 5555 ก็เลยนั่งรอ

รอ
รอ
รอ
และรอ

ผ่านไปประมาณ  30  นาที ก็รอไม่ไหวแล้วววว กลัวเที่ยวไม่หมด เลยเอาเสื้อกันฝนที่เตรียมมาไว้ ใส่ขับตากฝนไปเลย
ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะ ขับรถเกาะตีนเขาไปเรื่อยๆ ทาง แม่ริม – สะเมิง ไปน้ำตกแม่สา….

“น้ำตกแม่สา”

น้ำตกแม่สาค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 บาท บวกกับค่ารถอีก 20 บาท ชิวๆ มีตังค์จ่ายเฟร้ย อิอิ

เจ้าหน้าที่เตือนว่า ห้ามเล่นน้ำ น้ำหลาก ฝนตก ระวังด้วย นะครับ…
จากนั้นเราก็ขับรถเข้าไปในอุทยาน จอดรถ วางข้าวของที่เยอะมากไว้ข้างรถ
คิดเล่นๆ นะ Backpack ที่แบบยัดของแน่นเอี๊ยด กระเป๋ากล้อง กระเป๋าขาตั้งกล้อง เต๊นท์ Ocean Pack
หมวกกันน๊อคอีก 2 ใบ ให้ตายเถอะ จะจอดจะลงจะขึ้นแต่ละทีแม่ม ลำบากมากกกก
แต่ก็ต้องยอม เพราะงบน้อย T T

สาระกันหน่อย…

วนอุทยานน้ำตกแม่สา อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อนในแนวเทือกเขาถนนธงไชย ที่สืบเนื่องต่อจากเทือกเขาหิมาลัยความสูงของพื้นที่อยู่ระหว่าง 330-1,685 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาโดยทัวไปประกอบไปด้วยหินอัคนี (igneous rock) ชนิดที่สำคัญได้แก่ หินแกรนิต (granite) นอกจากนี้ยังมีหินชั้น (sedimentary rock) และหินแปร (metamorphic rock) ซึ่งในบริเวณน้ำตกแม่สาจะพบหินชนิดนี้มาก

หินไนส์(Gneiss) เป็นหินแปรซึ่งเป็นฐานรากของเทือกเขาส่วนที่เป็นดอยอินทนนท์และดอยปุย มีอายุประมาณ 570 ล้านปี มีลักษณะเด่นคือมีลายริ้วของแร่ที่มีสีเข้มและสีจางที่เกิดจากการแปรสภาพจากความร้อนและความกดดันมากหินชุดนี้ถูกหินแกรนิตที่มีอายุน้อยกว่าดันตัวโก่งขึ้นมาเป็นภูเขาบางบริเวณอาจพบหินที่ถูกบีบตัวจนมีลักษณะของริ้วคล้ายลูกตา

มาเรื่องของเรากันต่อ…

เราเดินเข้าไปในอุทยาน น้ำตกมี 10 ชั้น ไม่มั่นใจว่าเราไปถึงชั้นที่ 1 ยังก็ไม่รู้ เพราะแม่ม เหมือนไม่มีคนเลย แต่ดีนะ
ธรรมชาติสมบูรณ์มาก เดินไปลื่น เดินไปลื่น ตะไคร้น้ำเกาะเยอะมาก  เราเลยเน้นชมบรรยากาศด้านล่างแทน ๕๕๕
จริงๆ แล้ว กุขี้เกียจเดินขึ้นไปข้างบนเว้ย (ต้องขอโทษเพื่อนๆ จริงๆ เลยอดเอารูปน้ำตกสวยๆ มาให้ดูกันเอลย)

ก่อนออกจากอุทยาน ผมก็มี Passport Thailand ก็เลยให้พี่เจ้าหน้าที่ปั้มตราประทับให้ และขอข้อมูลเกี่ยวกับหมูบ้านกระเหรี่ยง
พี่เค้าแนะนำว่า ไม่ค่อย work เท่าไหร่ เพราะไม่ใช่กระเหรี่ยงแบบดังเดิม หรือแบบอยู่กันธรรมชาติ พี่เค้าบอกว่า เน้นธุรกิจมากกว่า
เหมือนเป็นเมืองจำลองมากกว่าที่จะเป็นเืมืองกระเหรี่ยงจริงๆ ผมสองคนหันหน้าก็ตกลงว่า ไม่น่าจะได้ไป ดูแล้วไม่ Work

แต่เหตุผลหลักที่ตัดสินใจให้ไม่ไปเด็ดขาดเลย รู้มั้ยอะไร???

Tik
Tok
Tik
Tok
Tik
Tok
Tik
Tok

อายยย สาสสสสสสสสสสส ค่าเข้า แม่งห้าร้อยยยยยยยยยยยยย ตกใจกับราคา
OK กุไม่เข้ากะดะ เด๋วไปแม่ฮ่องสอนแทน ๕๕๕

จากนั้นก็เดินทางต่อไป กลางฝนเหมือนเดิม คราวนี้ มุ่งหน้าไปที่ “ม่อนม่วน”

ทางเลาะตีนเขา แ่ม่ริม – สะเมิง เป็นทางที่ร่มลื่นมาก เน้นนะครับ ลื่นนนนน!!! 555 ต้องขับดีๆ เลยแหละ เพราะฝนตก
บวกกับธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ในหน้าฝนปนหนาว เราขับไปเรื่อยๆ ผ่านโค้งซ้ายยยย….  เอนตัวเข้าโค้งขวาาาาา….
หันหน้ามองข้างทางแล้วฟินจัง… แต่หนักตรงที่ว่า มันควรจะเป็นลมเย็นๆ บางๆ ตีเข้าหน้า แต่แมร่งง กลายเป็นเม็ดฝนแหลมๆ
ปักเข้าหน้าเป็นเม็ดๆ เลย   หัวเราะเพี้ยนรมเสียเพี้ยนรมเสีย  ๕๕๕ คงเข้าใจนะ ถ้าใครเคยขับรถตากฝน 55555

ก่อนมา เพื่อนๆ ให้ข้อมูลมาว่า “ถ้าเมิงไป เมิงห้ามพลาดร้านอาหารก่อนถึงม่อนแจ่ม ที่ชื่อ โปงแยง แอ่งดอย นะ”
เพื่อนเน้นมากว่า ต้องมา ไอ่เราขับไปเรื่อยๆ ก่อนถึงทางขึ้นม่อนแจ่ม 1 กิโล ก็เห็นป้ายร้านอยู่ทางซ้ายมือ ฝนก็หยุดตกพอดี
ฝากของและสัมภาระไว้หน้าป้อมยาม พร้อมเดินเข้าไปในร้านแบบตัวเปียกๆ เพี้ยนเพลีย

(ข้อมูลร้าน : http://www.pongyangangdoi.com/ )

พอเข้าไปแล้วแบบ เห้ยยย แมร่งงง น่าอยู่จังว่ะ คือมันเป็นรีสอร์ทบวกกับร้านอาหารครับเพื่อนๆ บรรยากาศติดน้ำตก เป็นป่าดิบที่ร่มรื่นมาก
(คราวนี่รื่นจริงๆ ไม่ลื่น) เข้าไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอร้านอาหาร ที่วิวเป็นน้ำตกและป่าเขารอบข้าง โอ้วแม่เจ้าาาาาา… ประหลาดใจ

คนแน่นมาก มีคนจองโต๊ะด้วย โฮฮฮ แสดงว่ายิ้ม ร้านนี้เ็ด็ดจริงๆ เราก็สั่งๆ แต่ระหว่างนั้น แฟนก็ทักขึ้นมาว่า
“เพื่อนบอกว่า มาร้านนี้ต้องกินเนื้อแดดเดียว” ผมก็ตอบไปว่า กินที่ไหนก็เหมือนกันแหละน๊าาาา….

หลังจากนั้นประมาณ 2 วินาที พนักงานก็ติดสตั้น!!! และรีบตอบกลับมาว่า
“ที่ นี่ ไ ม่ เ ห มื อ น ที่ อื่ น จ ริ ง ๆ น ะ ค่ ะ…. อ ร่ อ ย ม า ก จ ริ ง ๆ”
โอ๊ยหลอน กุก็พูดไปซะดังเลย ๕๕ ก็เลยๆ อะ สั่งมาๆๆ …

Confirm ว่าอร่อยมาก เนื้อนุ่มโคตรร รสชาติกลมกล่อม ส่วนอาหารอย่างอื่นก็อร่อย แต่ไม่ค่อยแปลกหูแปลกตาขนาดนั้น

จากนั้นก็เดินทางไปถึงทางขึ้นม่อนแจ่มแบ้ววววว เย่เย่เย่….

ระหว่าทางก็มีทั้งนักบิด นักปั่น นักวิ่ง ที่เกาะอยู่ระหว่างทาง
ตอนนี้ฝนหยุดและ ทางจะเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ นะครับเพื่อนๆ แต่ธรรมชาติก็จะยิ่งสวยงามขึ้นเช่นกัน

รอบข้างส่วนใหญ่ก็จะเป็นแปลงพืชขั้นบันได ในความคิดผม มันสวยกว่าอุ้มผาง สวยกว่าภูทับเบิกซะอีก
นี่ความคิดส่วนตัวนะครับ คือมันใกล้เมือง แต่เที่ยวได้ง่ายๆ สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางออกจากตัวเมืองไกลๆ

ผมแนะนำนะ  “ขับมอไซต์มา สะดวกกว่าเอารถยนต์มา เพราะทางขึ้นจะเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ” แต่ถ้าขับไม่แข็ง
ก็ไม่ว่ากันเอารถยนต์มาก็ได้ แต่จะไม่ได้บรรยากาศ และก็ก่อนขึ้นไปม่อนแจ่ม มันเป็นทางกรวดดินแดงคับ…

ไม่ไกล้ไม่ใกล้ ก่อนเข้าถึงตัวม่อนแจ่ม

“ม่อนม่วน”

ม่อนม่วนเป็นรีสอร์ทบวกกับร้านกาแฟนั่งชิวๆ วิวดีๆ
ร้านนี่สวยมากจริงๆ ยอมเลย นั่งได้ชิวๆ นานๆ หาอะไรมาทำเรื่อยๆได้ เราสั่งบราวนี่ร้อนๆ มานั่งทานคู่กับ โกโก้ปั่น
พร้อมด้วยวิว 200 องศา สวยๆ แบบนี้ครับ…


บราวนี่ร้อนๆ


อุณหภูมิ 20 ต้นๆ ชิวๆ 5555


ต้องบอกว่า ชิวได้ทั้งวันจริงๆ เพื่อนๆ…

(ข้อมูลที่พัก อาหาร ม่อนม่วน : ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.baanmonmuan.com/ )

เราแวะที่ม่อนม่วนประมาณ 45 นาที ก็ต้องเดินทางต่อ เพราะคิดว่า จะเอาข้าวเอาของไปเก็บไว้ที่พัก
เราแบกเต้นท์มา ตอนแรกก็กะจะนอนเต๊นท์แบบชิวๆ แต่ฝนแมร่งก็ตกเอาตกเอา มันจะตกอะไรนักหนา
อยากรู้จิงๆ ใครปักตะไคร้ เมิงปักผิดท่ารึป่าววววววว 55555555555

ช่างมันๆ เปลี่ยนแพลนไปหารีสอร์ทพัก…
กุพักรีสอร์ทกะดะ อุตส่าต์จะพักแบบคนลุยๆ ยาจกๆ หน่อย นะครับ แหม่….

ใส่เสื้อกันฝนอีกครั้ง แล้วเดินทางต่อไปที่ “ม่อนแจ่ม”

>>>>”ม่อนแจ่ม”

สวัสดีม่อนแจ่มมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!

ช่วงทางขึ้นม่อนแจ่ม จะเป็นทางลูกรังนะเพื่อนๆ ไม่ยาวมาก แต่ทางแคบ
เราขับมอไซต์ซ้อน 2 มีนเลยดูอันตรายหน่อย แต่พอขึ้นไปถึงยอดเท่านั้นแหละ

ฝนนี่เทลงมายังกะโกรธกุมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มองทิวทัศน์อะไรไม่เห็นเลย
เห็นแค่ระยะห่างจากตัวประมาณ  ไม่เกิน 5 เมตร แต่เราก็ยังถ่ายรูปเล่นกัน ๕๕๕๕

เจ๊ไม่แค่ร์ค๊าาาาาาาาาาา…

อากาศเริ่มหนาวขึ้นทุกที บวกกับลมที่ตีพัดหน้าให้หน้าชา

ตัวสั่น เริ่มมีอาการไข้จะขึ้น เลยตัดสินใจขับลงไปข้างล่างเพื่อหาที่พักข้างล่างม่อนแจ่ม
ได้ที่พักราคาถูกนะครับ คืนละ 500 บาท นอนได้ 4 คน เป็นกระต๊อบเล็กๆ ยื่นออกไปจากตัวเขา
ชิวดี

เราฝากของไว้กับเจ้าของห้องพัก แล้วเราก็ขับรถเดินหน้าเข้าไปในตัวเืมืองเชียงใหม่….

เด็ดโคตรครับ ไปตัวเปียกๆ เลย แต่แปลก ขับลงไปแล้วฝนไม่ตก ๕๕๕ เหมือนจะตกแค่ข้างบน
ถือเป็นโชคดีไป

เราใช้เวลาประมาณ 45 – 60 นาที เดินทางไปสู่ ถนนคนเดินเชียงใหม่…

จะบอกว่า ถนนคนเดินที่นี่ยาวมาก เดินไม่จบครับ ยาวเกิน ไกลเกิน ส่วนใหญ่มีแต่ต่างชาติ
คนไทยน้อยมาก อาหารอร่อย ของถูก มีของแนว hand made เยอะเหมือนกัน


พี่ๆ คนตาบอด เล่นดนตรี

ผมสงสัยว่าเชียงใหม่มีทะเลหรอ ทำไมปลาหมึกขายถูกกว่า กทม. จัง ๕๕๕

ต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วย ที่ลืมเก็บภาพบรรยากาศของถนนคนเดินในมุมสวยๆ มาให้
เพราะตอนนั้นมัวแต่ดูข้าวของ จนไม่สนใจการเก็บภาพแล้ว..

เอาเป็นว่า มันชิวจริงๆ ครับ  ถ้าไป ต้องให้เวลากับที่นี่ซัก 2 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ 55555

สุดท้าย สิ่งที่พลาดไม่ได้ถ้าไปเชียงใหม่ คือ “ข้าวซอย”

เวลา 3 ทุ่ม กำลังเดินๆ อยู่ ฝนเทลงมา  ๕๕ ห่างรากกกกกกกก 555
เรารีบสวมชุดเกราะ ๕๕ (เสื้อกันฝนนั้นแหล่ะ)  และก็ขับบ๊ายๆ ถนนคนเดิน ขึ้นไปม่อนแจ่ม
เพื่อไปพักผ่อน

ระหว่างทาง โคตรมืดเลย กลัวผีมาก แต่กลัวคนมากกว่า
พอกลับถึงที่พัก ด้วยความเหนื่อย เราก็สลบไป พร้อมกับบรรยากาศที่หนาวเหน็บ 10 องศากลางๆ

10

9

8

7

6

5

4

3

2

1

สวัสดีตอนเช้า กับวิวสวยๆ ที่ “ม่อนแจ่ม” ครับ

ผมตื่นนอนเพราะเสียงไก่ขัน แสงแดดบางๆ ลอดผ่านรูเล็กๆของหน้าต่างเข้ามาในห้อง
ผมลุกขึ้นมาพร้อมเปิดหน้าต่างออกไป มองวิวข้างนอก

พระเจ้า!!!

โอ็ว ไม่

โอ้วว

โอ้โน

โอ้โนโนโนะ

อย่างนี้ไม่ดี โอ้โนโนโนะ …. (ไอ่บ้า ไม่ใช่ neko jump)

แต่สิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งนี้ครับ

มองออกผ่านนอกหน้าต่างไป มันทำให้ตาผมตื่นทันที และรู้สึกถึงความตื่นเต้น ที่จะได้เจอในอีกหนึ่งวันที่เหลือ 5555

ผมรีบปลุกแฟน ให้รีบล้างหน้าแปลงฟัน จากนั้นเราก็บิดรถขึ้นไปดูดอยม่อนแจ่มอีกครั้ง
เพื่อซ่อมเมื่อวานที่ฝนตก จากรีสอร์ทผมห่างจากม่อนแจ่ม 100 เมตรครับ ๕๕
จริงๆ จะเดินก็ได้ แต่ทางมันชัน ตอนเช้าออกแรงกลัวปวดอึ ๕๕๕๕๕๕๕๕

โอ้โหหหหหหหหหหหหหหหหหห ประเทศไทย นี่หรือที่เค้าเรียกว่า “ม่อนแจ่ม”

สาระกันหน่อย

ม่อมแจ่ม  ตั้งอยู่บนสันเขาบริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย อำเภอแม่ริม อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 40 นาที  เดิมที่บริเวณนี้ชาวบ้านเรียกว่ากิ่วเสือเป็นป่ารกร้าง ต่อมาชาวบ้านเข้ามาแผ้วถางและปลูกผิ่น จนในท้ายที่สุดโครงการหลวงมาขอซื้อพื้นที่เข้าโครงการหลวงหนองหอย   เมื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลวง คุณแจ่ม-แจ่มจรัส สุชีวะ หลานตาของ ม.จ. ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ได้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงบริเวณม่อนแจ่มให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะในลักษณะของม่อนแจ่มแค้มปิ้งรีสอร์ท ซึ่งม่อนแจ่มเพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือน พ.ย. 2552

ม่อนแจ่มมีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีหมอกยามเช้า ช่วงที่เหมาะสำหรับท่องเที่ยวคือ เดือนตุลาคม -กุมภาพันธ์  มีจุดชมวิวสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทิวภูเขาสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา อีกด้านเป็นแปลงปลูกพืชและไม้เมืองหนาวของโครงการหลวง
ยอดเขาทางทิศตะวันออกมีจุดชมวิวม่อนล่อง เหมาะสำหรับชมทิวทัศน์ของพื้นที่โครงการหลวง เป็นจุดชมทะเลหมอกบนหน้าผา มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ชมพรรณไม้และดอกไม้ป่า เส้นทางขึ้นไม่ได้ลาดยางหรือเทปูน เป็นทางดินลูกรัง ควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ

ทางด้านทิศใต้เป็นไหล่เขามองลงไปจะเห็นหมู่บ้านม้งหนองหอยและพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยโดยรอบ ซึ่งเป็นแปลงปลูกผักและวิจัยพืชผักเมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค แปลงสมุนไพรเลมอนทาร์ม มิ้น คาร์โมมายด์ โรสแมรี่ ไม้ผล เช่น พลัม องุ่นไร้เมล็ด สตรอเบอรี่พันธุ์ 80 แปลงผักไฮโดรโพนิค การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เช่น โอ้คลีฟแดง และผักตระกูลสลัด มะเขือเทศดอยคำ ฯลฯ
บนม่อนแจ่มมีร้านอาหาร เปิดบริการเวลา 09.00 – 19.00 น. (ช่วง เดือน ส.ค.-ก.ย.) และ 09.00 – 21.00 น. (ช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.) ปรุงอาหารโดยใช้ผลิตผลท้องถิ่นที่ปลูกเอง
มีที่พักในลักษณะแคมปิ้ง รีสอร์ท เปิดให้บริการบนม่อนแจ่ม ราคา 700-2,000 บาท

สอบถามรายละเอียด และจองที่พักได้ที่
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย  ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ฝ่ายประชาสัมธ์โครงการหลวง โทร.053 810 765 ต่อ 108
คุณนก หรือ คุณอัน โทร.081 806 3993
www.thairoyalprojecttour.com

ระหว่างถ่ายรูปเล่น ก็เจอกลุ่มน้องๆ ชาวม้ง
น้องๆ น่ารักมากครับ…

(ถ้าใครรู้จักผม หรือรู้จัก PALAPILII Thailand จะรู้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยว เป็นรายการเล็กๆ รายการหนึ่งชื่อ PALAPILII Thailand ครับ ลองคลิ๊กเข้าไปชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand )

ผมสัมภาษณ์ถึงการใช้ชีวิตของน้องๆ ว่าอยู่กินกันอย่างไร สนุกมั้ย ชอบมั้ยที่ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี้ บลาๆๆ

สนุกมาก ๕๕๕ ตอนถ่ายทำ คนมองเต็มเลย อายก็อาย แต่อยากได้ Scoop เด็ดๆ มาฝากลูกเพจครับ

หลักจากที่ถ่ายทำเสร็จ น้องๆ เค้าอยากดูตัวเองตอนอยู่ในกล้อง ผมก็เลยเปิดให้น้องๆ ดู

น้องๆ ยิ้มและหัวเราะ กับภาพการแสดงของตัวเอง ๕๕๕๕ น่ารักอะ อยากอยู่แบบนี้นานๆ

โอ้ยยยยยยยย หิวข้าวแบ้วววววววววววว

ที่ม่อนแจ่ม จะมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียวเท่านั้น ที่คุณสามารถจะสั่งทานได้ ผมจำไม่ได้ว่าร้านอะไร
แม่แมร่างงงงงง อะหร่อยเหาะ มากๆ ของทุกอย่างมันหวาน มันสด มันโอ้ยยย สุดจะบรรยายเลยเพื่อนๆ

คือมันอยู่บนที่สูงแล้วของทุกอย่างมันสดเองแบบไม่ต้องแช่เย็นอะครับ ผมสั่งมา 3 อย่าง ก็กินกันจนอิ่ม
พร้อมกับบรรยากาศสวยๆ ของม่อนแจ่ม ฟินเลยแหละ

นี่ๆ เอาตัวอย่างอาหารมาให้หิวกันเล่นๆ นะ ๕๕๕๕


มันคือต้นซี่โครงหมูต้นใส่ผักไรไม่รู้ ชื่อภาษาม้อง แต่เปรียวอมหวานมากๆๆๆ ยิ่งหนาวๆ มากินอุ่นๆ นะ ฟินจ้าาาาาา
อันนี่เป็นกระพงผัดอะไรซักอย่างนี่แหละ จำไม่ได้ แต่อร่อยมาก


และสุดท้าย ผมชอบที่สุดเลย “ผัดผักแม้ว”  หร่อยเหาะะะะะะะะะะะะ

หลังจากที่แด๊กข้าวกันเสร็จ ก็แวะดูตลาดเช้าหน้าม่อนแจ่ม
ส่วนใหญ่จะเป็นผักผลไ้ม้ และเสื้อผ้าครับ ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่
แต่ก็อยากช่วยชาวบ้านนะครับ เลยซื้อมันปิ้งกินกันเล่นๆ อุ่นๆ ดี ๕๕

ที่ม่อนแจ่มจะมีเครื่องเล่นพื้นบ้านให้เล่นกันครับ  ครั้งละเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ไม่น่าจะแพง
เป็นรถที่ทำจกาไม้ และปล่อยลงมาจากเนินเขา ให้เราควบคุมเอง ๕๕๕
น่าสนุกใช่มั้ยหล่ะ

เวลาเลี้ยซ้ายให้ดันขาขวา เวลาเลี้ยวขวาให้ดันขาซ้าย ส่วนเวลาจะเบรค ก็ดึงกระปุกเกียร์ข้างหน้า
ดันเข้าหาตัวเหมือนเบรคมือรถทั่วไปครับ

เราไม่ได้เล่น แต่ดูคนอื่นเล่นก็สนุกแล้ว ๕๕๕๕

จากนั้นไม่รอช้า กลัวเสียเวลาช่วงเช้า ขับไปม่อนอิงดาวครับเพื่อนๆ ไปชมแปลงผักที่ชาวไร่เค้าปลูกกัน
เป็นขั้นบันได สวยงามมากเบยยย ไม่อยากจะอวดดด ๕๕๕๕

ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่รูปเอามาให้ดูเด้อคับ เด้อออ

ตอนเช้าเราตระเวณเที่ยวทั้งแถวของม่อนแจ่มเลย ๕๕๕

และแล้วฝนก็ตก T T แต่ไม่แคร์ค๊าาาาาาาา ใส่เสื้อกันฝนและลุยต่อ ๕๕๕

ไปชมสวนองุ่นเอเดิน : อันนี้องุ่นยังไม่ออกผล เลยไม่ได้เข้าไปเก็บภาพ
ชมโครงการหลวงหนอยหอย : อันนี้ก็จะเป็นพวกงานวิจัยพืชอะครับเพื่อนๆ อยู่แถบๆ เดียวกันเลย

หลังจากที่ขับรถตากฝน ก็ขับกลับเข้าที่พัก และอัพรูปจ้าาาาาาาาาาา ๕๕๕
กลัวเค้าไม่รู้ว่ามา “ม่อนเจ่ม”

เรารอได้ 40 กว่านาที เพราะชาร์ตแบตทิ้งไว้ และรอให้ฝนหยุดตก

จากนั้น ก็ Check out เก็บข้าวของ และเดินทางต่อเข้าเมืองไปชม “ดอยสุเทพ”

มาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าเพื่อนๆชอบบทความนี้โหวตให้คะแนนเราด้วยน๊าาา ๕๕
และนี่ สำหรับเพื่อนๆ ที่จะสอบถาม plan เที่ยวของเรา ก็ไปที่นี่ได้เลย https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ผมเอาของมาฝากไว้กับน้องที่รู้จักใน มช.ครับ และเราก็ขับรถเล่นใน มอซักพัก ไปอ่างแก้วด้วย ๕๕

ระหว่างทางจาก มช. ขึ้นดอยสุเทพ ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโล
จะบอกว่า ขับโคตรมันส์เลย ทิ้งโค้งยังกะ rossi แหนะ ๕๕๕๕
ดีที่ไม่แหกโค้ง เอาแผลมาโชว์

ขับมาได้ครึ่งทางจะมีจุดชมวิวมุมเล็กๆ ให้พวกแมงเม้าบินเข้ากองไฟกันไปก่อน
ประมาณว่า ยิ้มตื่นเต้นไง เห็นอะไรก็จอดลงไปดู ๕๕๕๕

ผ่านไป 15 นาที เราก็ถึงดอยสุเทพแบ้วววววววววว เย่เย่เย่ แต่….

ยังไม่เข้าไปเฟร้ยยยย จะไปดอยปุย ไปพระตำหนัก และก็หมู่บ้านช่างเคี่ยนก่อน
ยิ่งขับขึ้นไปข้างบนยิ่งหนาววว ขอบอกเลยว่าอากาศดีมากๆ
บนดอยปุยทางจะเล็กลงเรื่อยๆ แนะนำว่า ถ้ายังมีแรง ให้ไปมอไซต์ดีกว่า
เพราะถ้ารถยนต์ เกรงว่าจะลำบาก
ทางคล้ายๆ จะสำหรับให้รถคันเดียวไปได้ ๕๕๕๕

แต่รู้มั้ย อะไรที่ ยิ้มมากๆๆ

พอจะลงไปดอยปุยอ่ะ ยิ้มน้ำมันเตือนจะหมด ก็คิดว่าเอาไงดี สรุปเลยต้องขับกลับ
ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่อึดใจก็จะได้ไปบ้านม้งดอยปุยแล้ว  แต่ไม่อยากเสี่ยง เพราะว่าจองตั๋วกลับแล้ว
เลยตัดสินใจขับกลับ

ระหว่างทาง ปวดฉี่มาก จอดฉี่แป๊ป

และแล้วก็มาถึง “ดอยสุเทพ” คร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ

ระหว่างทางขึ้น มีของขายเต็มไปเบิดเบยยย ทั้งสร้อย คอ กำไร เครื่องเงิน ของกิน บลาๆๆๆ

เยอะแยๆๆๆๆๆ > <

แต่นี่เด็ดจริง ผมขอแนะนำ กล้วยกับมันทอดของป้าอ้วน
ยิ้มหร่อยยิ้มๆๆๆๆๆ ห้ามพลาดนะเพื่อนๆ

ปะ!!!     ถึงเวลาขึ้นไปชมความงามของดอยสุเทพกันแล้ว
>>>>>>>>>>.
>>>>>>>>>>>
>>>>>>>>>
>>>>>>
>>>>>
>>>>
.
>>

คลิปมาแล้วนะครับเพื่อนๆ

http://www.youtube.com/watch?v=2-nau62e3jE&feature=youtu.be

เด๋วจะมารีวิวต่อช่วงขึ้นดอยสุเทพแน่นอนครับ รอซักพัก

มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ววววววววว

สถานที่สุดท้ายที่เราจะพาพวกคุณไปศึกษาประวัติศาสตร์ และร่วมเคารพสักการะ นั้นก็คือ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร

สำหรับผม ผมเคยมาที่นี่แล้วหล่ะ ครั้งนี้คือครั้งที่ 2 แต่ครั้งแรกที่มา มาแบบไม่ได้ตั้งใจ มาครั้งนี้เตรียมข้อมูลไปอย่างดี
อยากให้เพื่อนๆ ตั้งใจอ่านข้อความหลังจากนี้นะครับ แล้วคุณจะนับถือพระธาตุดอยสุเทพ อย่างที่ผมนับถือ

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร (คำเมือง: LN-Wat Phra That Doi Suthep.png) เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนยอด ดอยสุเทพ เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ ในวัดมีเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ลานเจดีย์เป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ทางขึ้นเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน วัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นวัดสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำทักษิณาวัตรสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้

จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้โปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ

นี่เป็นไม้แกระสลักเรื่องราวความเป็นมาของวัดฯ

ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร

เป็นไงกันบ้างครับ ผมเชื่อว่าหลายคนเพิ่งมารู้เรือ่งราวของวัดพระบรมธาตุดอยสุเทพจาก รีวิวชิ้นนี้ครับ ๕๕
จริงๆ ถ้าผมไม่ทำรีวิวผมก็ไม่รู้หรอก ๕๕ เรารู้พร้อมกันครับ

ระหว่างที่ชมวัด เราก็ทำบุญตามประสานักท่องเที่ยว และก็อธิษฐานให้ผมและผู้ที่ติดตามมาถึงหน้านี้มีความสุข เดินทางปลอดภัยกันทุกคนครับ
ไว้เจอกันใหม่รีวิวหน้านะครับ

ถ้าคิดถึงมาเจอกันที่นี่เลย : https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

Leave a Reply

*