ROAD TRIP เกาหลีใต้ 6 วัน 5 คืน ด้วยเงิน 35,000 บาท [SEOUL – PYEONGCHANG – POHANG]

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ทริปนี้ ไมจะพาเพื่อนๆ ทุกคนไปเที่ยวเกาหลีใต้ และแน่นอนว่าทริปเกาหลีใต้ น่าจะมีคนไทยไปเยอะแล้ว และรีวิวท่องเที่ยวก็คงจะเกลี่อนไปหมด โดยเฉพาะจุดแลนด์มาร์คต่างๆ ในกรุงโซล แต่รีวิวนี้จะต่างออกไปแน่นอน และขอเคลมไว้ก่อนเลยว่า ภาพทุกใบจบหลังกล้อง ไม่แต่ง ไม่ photoshop ไม่เติมสี กล้องที่ใช้มี Canon 70D กับ Canon M50 ซึ่งวันนี้ เราจะใช้สูตรเดิมในการเดินทาง นั่นก็คือ จองวันต่อวัน และแพลนสถานที่วันต่อวันเช่นกัน ซึ่งจากสูตรท่องเที่ยวของไมหลายๆ ทริป สูตร นี้ เป็นสูตรที่ท่องเที่ยวที่สนุกที่สุดแล้วล่ะ

หลังจากจบทริป เลยได้บทสรุปออกมาเป็นแพลนให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจและอาจจะเก็บสถานที่บางสถานที่ไปลอกตามทริปนี้ของไม ทริปนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นวัยรุ่นครับ คุณลุงวัยใกล้เกษรียณอย่างพ่อผมก็ไปได้ และด้วยความที่ว่าเกาหลี มันจะมีอะไรให้เราทำบ้างในช่วงหน้าหนาว นี่ก็เลยไปหาข้อมูลมา ปรากฏว่า กิจกรรม เยอะโคตรโคตรรรรร !!!!

ซึ่งกิจกรรมที่ไมสนใจสำหรับทริปหน้าหนาวที่เกาหลีทริปนี้ ก็จะมี เล่น snowboard ที่สนามกีฬาโอลิมปิคของเกาหลี คือไม่ใช่ว่าเล่นทุกที่นะ คือต้องไปที่นี่เลย ที่ Yongpyong Ski Resort เป็น Ski Resort ที่สวยที่สุดและดีที่สุดในเกาะหลี ตกปลาเทราต์ที่เมือง PYEONGCHANG อันนี้คืออยากมากๆ เพราะถ้าอยู่ประเทศไทยไม่มีโอกาสได้ทำแน่นอน เล่นสเก็ตน้ำแข็ง Out door ตามห้างดังๆ เก็บสตรอเบอร์รี่ที่ไร่สดๆ อาบน้ำที่โรงอาบน้ำท้องถิ่นเหมือนซี่รี่ย์เกาหลี ๕๕๕ แล้วก็สุดท้าย สำคัญมากๆ คือประเพณีดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Homagot เมือง Pohang ที่จะมีปีละครั้งเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็ตามมีตามเกิดเลย มาดูกันดีกว่า ว่าแพลนที่วางไว้คร่าวๆ จะเป็นประมาณไหน

เอาล่ะ จากแพลนด้านบน ข้อมูลทุกอย่างคือข้อมูลสวยหรู ที่ไม่รู้ว่าเราจะได้เดินตามทางแพลนแบบนี้จริงหรือเปล่า เพราะเราจะไม่จองอะไรก่อนทั้งนั้น ไม่จ้างไกด์ ไม่ไปทัวร์ ทริปนี้ทุกที่ที่ไป ทุกการสินใจ อยู่ที่หน้างาน อ่าเรามาเริ่มกันเลย

DAY 1 – Hello -11 Celsius

                วันแรกเราจองสบายๆ สไตล์ไม่ต้องรอตั๋วโปรครับ จองก่อนบินไม่กี่สัปดาห์ แบบยอมจ่ายเลย เพราะว่าไม่ว่าจะบินกับเจ้าไหน ราคาช่วงปีใหม่ บินไปแค่เกาหลีก็เหมือนไปยุโรป ดีออกกกก!!! เพราะฉะนั้น จะจองก่อนหรือจองหลัง ก็ราคาไม่ต่างกันมาก สู้รอให้ทุกคนในทริปพร้อม แล้วมั่นใจว่าจะไม่ล่ม อันนี้ชัวร์กว่า สรุปเฉาพะค่าตั๋วสี่คนพ่อแม่ลูกหมดไป 80,000 บาท ขอบคุณ AirAsia X ที่เก็บเงินกูไปเต็มๆ เอาเป็นว่าค่าตั๋วก็หน้าสั่นแล้ว แต่อย่าไปคิดเยอะถ้าเทียบกับอายุพ่อแม่ เงินแค่นี้ จ่ายไปให้ท่านได้ไปทำอะไรใหม่ๆ ได้ไปเห็นอะไรที่ไม่เคยสัมผัสตอนช่วงวัยเกษรีณ ยังไงก็คุ้ม

                ไปถึงสนามบิน อีนี่ยังโชคดีที่ยังมีจองที่พักมาคืนเดียว คือคืนแรก เพื่อไม่ให้ทริปมันโหดร้ายจนเกินไป เรารู้ตัวแล้วว่า กูมีที่พักแน่ๆ เมื่อไปถึง ที่พักเค้าก็ดีนะ ส่งข้อความมาบอกวิธีไปที่พักแบบฟรีๆ เพราะที่พักของเรา ไม่ได้ไกลจากสนามบินเลย เดินไปราวๆ 2 กิโลเมตร แต่มึงเข้าใจป้ะ พอบินไปถึง เช็คอุณภูมิแล้วมัน -2 องศา มึงจะเดินหรอ แล้วคือ Flight ของ AirAsia X บินมาถึงนี่ห้าทุ่มกว่าๆ รอบรถ Shuttle Bus หมด รถไฟก็หมด เหลือแต่อีพี่ Taxi ที่เราจะต้องไปกับเค้าล่ะ ซึ่ง…. เดี๋ยวก่อน… เรายังไม่มี sim ยังไม่จองรถ ยังไม่ทำไรเลย นี่บอกให้พ่อแม่นั่งรอ แล้วใช้ wifi สนามบินส่งสวัสดีปีใหม่เข้าไปกรุ๊ปไลน์เพื่อนๆ ของแกก่อน จับ penny board มาแล้วไถลไปหา sim card เชี่ยรู้สึกว่าตัวเองเท่ห์มาก คนมองแบบเหลียวหลัง สงสัยคงจะชมว่าเราเท่ห์ คิดในใจกำลังกรึ่มๆ ตำรวจเป่านกหวีดเรียก อิสัส!!! เปิดทริปได้ดีมาก no no no, cannot cannot cannot เจ้าหน้าที่ในสนามบินเดินมาชาร์จอย่างเร็ว

                อ่ะ เดิน เจอร้านขาย Prepaid Sim แล้ว เบรค/// ต้องบอกก่อนว่า เราไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม้แต่ซิม หรือรถ หรือยังไง อะไรที่ดีหรือไม่ดีที่ควรเลือกใช้ในเกาหลี ๕๕๕๕ ตลกตัวเอง เท่าที่เห็นในสนามบินเหมือนจะมีอยู่สองบริษัท มีแบบเป็น sim ที่สามารถโทรออก และเล่นเน็ตได้ เป็น local sim ไปเลย จริงๆ เราควรซื้อตัวนี้อ่ะ นี่พึ่งมาคิดได้ตอนทำรีวิว แต่ด้วยความชิน เลยซื้อแค่ Prepaid Sim ใช้เล่น 5 วัน ราคา 28,000 KRW ก็ยื่น Passport ใหเค้าไป แล้วเค้าก็ส่ง sim มา คือที่นี่ไม่มีบริการแงะเข้า ถอดออกอะไรให้นะ อารมณ์ประมาณ อ่ะ มึงเอาไปทำของมึงเอง ๕๕๕ แล้วก็ถ้าทำไม่ได้ค่อยมาหากู

// หลังจากตรงนี้จะอ่านหรือไม่อ่านก็ได้นะ เพราะไม่มีภาพ แต่จะเป็นบรรยากาศความวุ่นวายที่ไม่สามารถหยิบกล้องมาชักภาพได้เลย ๕๕๕๕ ///

             “ที่พักของเราชื่อ Incheon Airport Guesthouse ซึ่งถามพนักงานแต่ละคน ไม่มีใครรู้จักสักคน กูจะบ้าตาย นี่เลยเปิดข้อความที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่งของ Booking ให้เค้าดู ก็เหมือนจะรู้ เพราะมันเป็น Complex Building อะไรสักอย่าง แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะขึ้น Taxi อะไรก็ได้ เหมือนกฏหมายเค้าเยอะอ่ะ เราไปกันสี่คน ขึ้น Taxi ธรรมดาไม่ได้นะจ๊ะ ต้องขึ้น Truck Taxi ทีนี้ปัญหามันจึงเกิด เพราะ… ข้างนอกแม่งติดลบ 11 องศาไง แล้วคือ Feeling จริงๆ คือเท่าไหร่ไม่รู้ มึงคิดว่า Truck Taxi กับ Taxi ธรรมดาอันไหนมันเยอะกว่ากันล่ะ นี่รอแล้วรออีก รอจนพ่อขี้มูกไหลไม่รู้ตัว แขนกูก็ชา หูก็แข็ง เจ้าหน้าที่ก็คุยไม่รู้เรื่อง เลยหยิบบอร์ด ฟาดหน้าไปทีหนึ่… สัส!!! โหดไป หลอกนะ คือมันหนาว มันรอไม่ไหว บางคนก็ให้บอกไปรอเบอร์นี้ อีกคนบอกไปรอเบอร์นู่น เบอร์นี่คือชื่อเสาร์ที่ให้ไปรอรถอ่ะ สุดท้าย ชูนิ้วกลาง เอ้ย!!! ชูสองนิ้ว แล้วบอกว่า เดี๋ยวกูเอาคันเล็กสองคันก็ได้ ยอมจ่ายสองคันเลย

 

                อ่ะได้ Taxi เรามี Sim เราไปกับแม่ พี่เมกับพ่อ ไปอีกคันหนึ่ง กูงงมาก ถ้าหลงทางกัน จะเจอกันยังไง กำลังจะบอกให้ขับตามคันหน้าไป เอ้าอิดอกกก!! คันหน้าหายไปไหน ดีนะ ที่ยังให้พี่สาวถ่ายรูปชื่อที่พักให้อยู่ คือถ้าหลงก็คงจะแก้ไขปัญหาเป็น Taxi พากูขับวนสนามบิน นี่ก็โหลด App Maps.Me ดูตาม เอ้า ทำไมคุณเลี้ยวไปอีกทางล่ะ ครับ อ่าๆๆ มันคงมีทางไปล่ะนะ สักพักแม่งจอด แล้วบอกว่าถึงแล้ว เราก็ดูจากแผนที่ เอ๊ะ มันยังไม่ถึง มันต้องเข้าซอยไป เราก็ถามว่านี่ใช่ Incheon Airport Guesthouse ไหม มันก็ชี้ๆๆๆ ชี้ๆๆ ชี้ แล้วก็ชี้ เอออออ กูเชื่อมึงก็ได้ ที่นี่คือ Incheon Airport Guesthouse ก็ได้ แต่คือป้ายหน้าตึกมันไม่ใช่ไง มึงงงอะไรอีคนขับ

 

                อ่ะลงๆ แม่ลง เช็คของ เอากระเป๋าออกจากกระโปรงหลัง ถามว่าเท่าไหร่ บอกกู 10 (10,000 KRW) เราก็ What!!! 10! Really คือมึงเข้าใจป้ะ แค่ 2 กิโลแม้ว มึงจะมาเอาเงินกู 300 บาท มึงอย่าทำเหมือน Taxi ไทยได้มะ ๕๕๕๕ นี่เลยทำหน้าไม่พอใจ เหวี่ยงแรงกลางอุณหภูมิ -11 แล้วทำเสียงดังๆ ว่า It’s expensiveeeee!!! Can you discount? มันบอกว่า Ten เราก็ No 5,000 นี่คิดในใจ มึงจะเอายังไงต่…OK เอ้า!!! กูยังคิดในใจไม่เสร็จเลย มึงตกลงเร็วแท้ ๕๕๕๕๕

 

                ตัดมาที่ฉากเปิดประตูเข้ามาที่โรงแรมที่มันบอกว่าเป็น Incheon Airport Incheon Guesthouse ด้วยความรู้สึกตะหงิดใจ เลยเปิดชื่อที่จองจาก booking แล้วยื่นให้ Receptor ดูแม่งเลย แบบไม่ต้องถาม เจ้าหน้าที่แม่งใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีแล้วบอกว่า No No No โถอีสัส อิ Taxi กูกะแล้วววววว

 

                อ่ะทีนี้ พ่อกับพี่มาถึงพอดี ก็เม้าๆ กันว่า ยังไง เค้าคิดเท่าไหร่ รถของพี่สาวก็ดี เก็บแค่ 5,000 แล้วตังค์พ่อกับพี่ไม่พอ มี 3,000 เค้าก็เอา 3,000 เอ้า ทำไมอีนั่นจะเอากูตั้งหมื่นล่ะ มึงเคยมาขับที่ไทยหรอออออ ๕๕๕๕ อ่ะ หยุดก่อน หาที่พัก่อน ทีนี่ก็ถามว่า แล้วรถเค้าไปส่งมึงที่ไหน //คุยกับพี่ใช้กูมึงนะ ปกติ พี่ก็บอกว่า นู่น ในซอย กูว่าใช่แล้วล่ะ Taxi คันพ่อแม่งไปถูก แต่ของกูนี่สิ ห่ารากกกกก!!!”

//จบการเม้าท์ปนบ่น สามารถอ่านต่อแบบรีิววได้แล้ว //

                อ่ะ… ก็พาพ่อกับพี่เดินกระเป๋าลากกลับไปที่เดิม ก็เจอตึก ที่นี่ก่อนจะมาถึง ทางโรงแรมเค้าส่ง ชั้น ห้อง แล้วก็รหัสเข้าห้องมาให้เรียบร้อย เราก็เดินเข้าไป แล้วก็กดรหัส access เข้าไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร หูววววว!!! ห้องดี วิวสนามบิน นอนกันได้สี่คน มีทีวี ตู้เย็น และ Heater ให้สำหรับวันนี้นั่น เป็นอะไรที่ไม่คิดไม่คาดฝัน ว่าการไม่จองอะไรมาก่อน จะทำให้เราเสียเวลาได้มากถึงขนาดนี้ แต่ปกติก้เที่ยวแบบนี้นะ เพียงแต่ว่าประเทศนี้ แม่งไม่ support การท่องเที่ยวแบบ No Plan มากกว่า เพราะฉะนั้น ใครจะมาเกาหลีคราวหน้า จงจองงงงงงงงงง มาก่อนเนิ่นๆ

DAY 2 – Messy Day

เมื่อวานจบวันอย่างทุกลักทุกเลมากๆ Mission ของวันคือต้องหารถให้ได้ ไม่งั้นจะไปไหนแบบสะดวกสบายไม่ได้เลย ตื่นกันราวๆ 8 โมง อากาศดีมาก บอกให้พ่อแม่รอที่นี่ เดี๋ยวจะเดินไปสนามบินกับพี่ เพราะมันไม่ไกลกันมาก แต่ โหหหหหห… เหมือนคิดผิด หนาวเหี้ยๆ เดินไปหนาวไป แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้ถ่ายรูปบางจุดสวยๆ ระหว่างทาง สองกิโลเมตรที่ว่าไม่ไกล กลับไกลไปโดยปริยาย จริงๆ มันมีรถไฟที่เป็น Sky Train Shuttle และ Shuttle bus ด้วยนะ แต่เรายังไม่มีข้อมูลอะไรขนาดนั้น แล้วคิดว่าเดินไปก่อนดีกว่า

แปลกมาก ที่นี่รถเช่าสำหรับ international น้อยมากๆ มีอยู่ไม่กี่เจ้า เหมือนเห็นแค่ 4 บูท แต่แม่งเป็นแค่ของสองบริษัท ซึ่งคล้ายกับว่า AVIS ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ของเกาหลีใต้จะถูก AJ Deal ไป เหมือนขึ้นอยู่กับบริษัท AJ Rent A Car บริษัทเดียว ด้วยความดีใจ วิ่งเข้าไปถาม

“You have a car for today?

Did you reserve yet?

No.

Ohhh, Sorry you have to reserve it.”

โห อห!!!! ซวยแล้ว งานงอก แล้วพรุ่งนี้จะต้องทำยังไง นี่คิดแล้วคิดอีกว่าต้องทำยังไง เลยเข้าไปที่เว็บเช่ารถของ AVIS แล้วกดจองไป ได้เลข Booking No. เรียบร้อย เอาไปให้เค้า เค้าก็บอกว่าไม่เห็น คิดแล้วคิดอีกว่าต้องเอาไง นี่ออกมาจนจะ 11 โมงแล้ว ยังไม่ได้เรื่องเลย เลยกลับไปที่พัก เพื่อที่จะไป Check out ก่อน

ขากลับ กลับ Shuttle Train นะ สบายเลยทีนี้ สรุปแล้ว วันนี้ จะยังไม่หารถ เพราะแม้แต่ที่พักสำหรับคืนนี้ก็ยังไม่มี เลยต้องเข้าไปในกรุงโซลก่อน อย่างน้อยวันนี้ต้องเก็บ N Seoul Tower และไปกิน Burger ข้างบนให้ได้ แต่มันยากตรงที่เรามากัน 4 คนและมีกระเป๋าใหญ่ๆ สองสามใบนี่แหละ เลยทำให้ Taxi ปกติเค้าไม่รับ คือมันต้องใช้ 2 คันเลย แล้วเค้าจะคิดเรา คันละ 75,000 KRW ซึ่งสองคันก็เป็น 150,000 KRW คิดเป็นเงินไทยคือ 4,500 บาท บระเจ้าจอร์จจจจ!!!

                นี่เลยตัดสินใจจะกลับไปที่สนามบินและเด่วไปนั่ง Shuttle Bus หรือรถไฟเข้าเมือง แต่โชคดี มี Truck Taxi จอดอยู่ใน้สถานที่ Shuttle Train Complex Building นี่ก็เลยถามเค้าว่าไปไหม สรุป ไป เย่!!!! ก็ดีมากๆ เค้ากด Meter ด้วย ซึ่งระหว่างทาง เค้าก็ถามว่าเราจะไปที่ไหน เราบอกตรงไหนก็ได้ แถวๆ เมียงดง เพราะเรายังไม่ได้จองที่พัก ทีนี่เค้าก็เหมือนว่าจะหาที่พักให้ ถามเราว่านอนดีไหม เอาถูกเอาแพง เค้าก็เหมือนช่วยโทรหาคนรู้จัก แล้วถามราคา Guesthouse ต่างๆ ให้ พอได้แล้วก็โยนมาให้เราคุย แล้วตกลงกันทางโทรศัพท์ โอเค!! ปิดจ๊อบ ได้ห้องพักสำหรับ 4 คันชื่อ Namsan Guest house 3 ราคา 95,000 KRW ก็ตกประมาณเกือบ 3,000 บาท ณ ตอนนั้น กลางเมือง กับสถานการณ์แบบนี้ ยังไงก็ต้องเอา

                สำหรับทริปนี้ทั้งทริป เราจะใช้ 3 คูณ ค่าเงินของ เกาหลีเข้าไปเลยนะครับ แล้วก็ตัดศูนย์ 2 ตัว แล้วแปลงเป็นเงินไทยง่ายๆ เช่น ราคาที่พัก 100,000 KRW ก็จะเท่ากับ 3 x 100,000 = 300,000 แล้วตัด 0 สองตัว กลายเป็นเงินไทย ที่ 3,000 บาทไปเลย วิธีนี้ ง่ายสุด ไม่งั้นงง และพึ่งรู้ว่าจากสนามบินเข้าไปในตัวโซลระยะทางราวๆ 75 กิโลเมตร แล้วคือสภาพการจราจรที่นี่ ก็ไม่ได้ดีด้วยสิ ก็ติดพอๆ กับบ้านเราเลย แต่สุดท้าย ก็ไปถึงที่พัก ค่า Taxi อยู่ที่ 85,000 KRW บวกกับค่าเรียก Taxi จากสนามบินอีก เท่าไหร่ไม่รู้ เลยตีเป็น 90,000 KRW กลมๆ

                ที่พักเหมือนเป็นแนว Hostel เล็กๆ ไม่ใหญ่ แล้วดูเหมือนมีคนไทยไปเยือนเยอะมาก เพราะรูปถ่ายคนไทยเต็มบอร์ดเค้าเลย รวมไปถึงป้ายต่างๆ มีภาษาไทยให้ด้วย ที่นี่รวมอาหารเช้าครับ แต่เป็นแบบ American นะ ไม่ใช่ไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์เหมือนพวกโรงแรม คงเข้าใจอารมณ์เกสท์เฮ้าส์ โฮสเทลกัน และแปลก ที่นี่ที่ไม่เก็บค่ามัดจำ แสดงว่า มึงชาร์จกูไปแล้ว และคิดว่าถ้าอยู่ในช่วง season ปกติ ราคาคงจะถุกกว่านี้อีกสครึ่ง คือราวๆ 1,500 บาทแค่นั่นแหละ ยังไงเพื่อนๆ ลองเช็คราคาดูอีกทีนะ ราคาถูกกว่าที่ไมได้มาชัวร์ ถึงตอนนี้ก็พอใจแล้ว เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่ห้อง นอนพักสักแป็บ แล้วคืนนี้ค่อยมาหารถเช่าต่อกัน

                วันนี้ทั้งวันถ้าไม่ได้ไปไหนคือเสียหมาแน่ๆ อีกอย่าง จอง N Seoul Tower & N Burger จาก Klook มาแล้วเรียบร้อยด้วย คือดีมากๆ เดี๋ยวนี้เวลาไปเที่ยวเมืองแมสๆ เข้าเว็บ Klook หาตั๋วกิจกรรมที่ที่เราจะไปล่วงหน้า ได้ราคาลด และโปรโมชั่นเพียบเลย ที่สำคัญคือใช้ง่าย พอเราซื้อเสร็จ เค้าจะส่งเป็น booking no. และ QR code มาให้เรา ไม่ใช่แบบเป็นบัตรแล้วส่งมาทางจดหมายนะ เดี๋ยวนี้โลกเรามันไปไกลแล้วจริงๆ

                เอาล่ะ นอนพักกันพอแล้ว คงจะหิว กว่าจะมาถึงที่นี่ก็บ่ายหนึ่งแล้ว และถ้าวันนี้ไม่ได้ไปไหน ก็เหมือนเราจะเสียเวลาฟรีๆ ไปหนึ่งวัน แพลนที่คิดไว้สวยหรูสำหรับวันแรก ถ้าเก็บได้สักสองสามที่ ก็ถือว่าดีแล้ว จากที่พักเราเดินไปที่ Namsan Cable Car ไม่ไกลมากนัก ราวๆ 800 เมตร แต่เป็น 800 เมตรที่ขึ้นเขา เราไม่เท่าไหร่ แต่พ่อเรานี่สิ เป็นเก๊า แล้วช่วงนี้เหมือนไม่ค่อยสบายด้วย เลยเป็นห่วงหน่อยๆ ทริปนี้ก็จัดมาให้พ่อกับแม่ได้มาเที่ยวต่างประเทศนี่แหละ ไอ่เราก็เคยมาแล้ว แต่อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นบ้าง ยังไงก็ต้องสู้ๆ กับไมด้วย

                ตั๋วไปกลับขึ้นลง cable car ราคาคนละ 8,500 KRW ไม่แพงมาก ใช้เวลาไม่นานในการขึ้นไป สมัยก่อนตอนมานะ เดินขึ้น โหหห… ทำไปได้ แต่ก็อย่างว่า สมัยก่อนไม่คิดอะไร แล้วตอนช่วงเดินขึ้นไปถึงกลางเขาก็พึ่งรู้ว่ามี Cable Car พอขึ้นมาข้างบนก็ดีใจนะ อย่างน้อย ก็ได้มาเก็บ Landmark อีกหนึ่งที่ของเกาหลีแล้ว ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย เหมือนสร้างอะไรใหม่ขึ้นมาเยอะขึ้น เมือง Kitty หรอ หรือไหนจะโซนเบียร์ตรงระเบียงนั้นอีก ช่วงเวลาปกติคงฟินแน่นอนเลย ขึ้นกระเช่ามาจิบเบียร์ตรงระเบียงบนเขานิมซานแล้วชมวิวเมืองงี้ จ๊าบโคตรๆ แต่ก็นั่นแหละ พอไปถึง เราซื้อตั๋วขึ้นหอคอยกับเบอร์เกอร์ผ่าน Klook มาแล้ว เรามีหน้าที่เพียงไปกดรับบัตรที่ Klook Station ครับ ซึ่งก็ไม่ยากเลย ใส่เลข booking เข้าไป กด OK บัตรก็จะออกมาแล้ว ง่ายมากๆ

                หิวกันแล้ว มากินเบอร์เกอร์กัน ซึ่งเบอร์เกอร์ที่นี่นักท่องเที่ยวหลายคนบอกว่าถ้าขึ้นมาต้องมาลองครับ คือมันดีจริงๆ ตอนแรกที่คิดคือคงเป็นชุดเล็กๆ แต่เปล่าเลยยยย ให้มาเป็นเซ็ท พร้อมโค้กและเฟรนไฟรซ์ ใหญ่มากๆ กินไม่หมด เบอร์เกอร์ก็สามารถเลือกในราคาไม่เกิน 8,000 KRW ตัวไหนก็ได ซึ่งนี่ก็เลือกทุกรส และลองชิมทุกรส อร่อยทุกรสจริงๆ

                อารมณ์ประมาณนี้ อากาศกำลังดี เบียร์เย็นๆ สักแก้ว นั่นเป็นอะไรที่เข้ากัน เป็นอีกมื้อที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ถ้ามา N Seoul Tower อันนี้ผมแนะนำเลย อร่อยมากๆ แล้วก็บรรยากาศข้างบน ดีอีกด้วย

                ทีนี่อย่างที่รู้กันอยู่ว่า คนที่ขึ้นมาที่นี่ เค้าจะมาคล้องกุญแจความรักกัน อย่าลืมเอากุญแจมาจากที่ไทยล่ะ จะได้ไม่ต้องซื้อกุญแจ่ข้างบนนี้ เพราะราคาแพงมากกก นี่หมดค่ากุญแจสีชมพูน่ารักๆ ไป 11,000 KRW เลย ก็เอามาเขียนชื่อครอบครัว แล้วก็คล้องตามธรรมเนียม

                ข้างบนนี้ถือเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันเยอะมากกก ซึ่งหลังจากคล้องเสร็จแล้ว ทุกคนก็จะโยนกุญแจทิ้งลงไปในเขานั่นแหละ แต่น้อยคน ที่จะขึ้นไปชมหอดูดาว Observatory N Seoul Tower ซึ่ง บัตรที่เราซื้อมาจาก Klook ก็คือรวมค่าขึ้นนี้แล้ว

                ข้างบนนี้สวยดีครับ เห็นเมือง 360 องศาเลย มีของขาย ของฝาก ของที่ระลึกให้ได้จับจ่าย มีเบียร์ขาย มีของกินเบาๆ มีที่ส่องทางไกล แต่ต้องหยอดเหรียญ เค้าดูใส่ใจอ่ะ เพราะตอนขึ้นลิฟท์ไม่ได้ขึ้นธรรมดานะ มี media บนเพดานลิฟท์ ทำให้เราเหมือนกำลังขึ้นกระสวยอวกาศอะไรแบบนี้

                พนักงานที่นี่ก็ดูแลดีครับ ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน อ่อ… อีกเรื่อง ก่อนเข้ามาเหมือนเค้าไม่อนุญาตให้ผมถ่ายวีดีโอ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม เลยเอาไมค์ที่ติดอยู่บนหัวกล้องออก พอเอาออก ให้เข้าไปได้เฉยเลย นี่งงมาก ถ้างั้นก็ควรเก็บกล้องถ่ายรูปทุกคนไปเลยไหม อย่างมือถือก็ถ่ายวีดีโอได้ป้ะ สงสัยน่าจะกลัวเป็นถ่ายไปขาย หรือเอาไปทำการตลาดอะไรทำนองนั้น

                จบจาก Seoul ก็เดินกลับไปที่พักครับ ที่นี่ ก็ถึงคิวหารถเช่ากันแล้วล่ะ อ่า.. ลืมบอกไป ระหว่างที่เราเที่ยวอยู่ มีคนช่วยผมที่ไทยถึงสามคนด้วยกันนะครับ เหมือนคล้ายๆ กับว่า รอสแตนบาย ให้ความช่วยเหลือ ซึ่งผมโชคดีมากๆ คนแรกคือแฟนของผม คนที่สองคือเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมา 10 ปี แต่พึ่งรู้ว่านางมาทำทัวร์ศัลยกรรมที่เกาหลี แล้วคนทีสามคือเพื่อนของพี่ที่เคยส่งมารีวิวประเทศเกาหลีของการท่องเที่ยวเกาหลีนี่แหละ ชื่อพี่ปุยฝ้าย ทุกคนให้ความช่วยเหลือดีมาก ทั้งสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงสิ่งที่ต้องไป

                เรื่องรถนี่ยากมากๆ ครับ เพราะมันไม่มีเลย ในตัวโซลเองก็ไม่มี ถ้าในอินชอนคือใกล้สุด 10 โล และราคาถูกที่สุดคือต้องกลับไปเอาที่สนามบิน คือพังมากๆ นี่แหละ บางอย่างก็ควรต้องจองมา สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ ผมตัดสินใจเองไม่ได้ครับ แฟนผมเป็นคนตัดสินใจ นั่นก็คือ จองไปรับรถที่เมือง Incheon ยอมนั่ง Taxi ไปไม่ไกลมาก แค่ 10 โล เพื่อไปเอารถ ดีกว่านั่งไป 75 กิโลเมตร เพื่อไปเอาที่สนามบิน แล้วยังจะเสียเวลาอีกด้วย แต่ราคาก็ต่างกันค่อนค้างเยอะ เพราะ ถ้าเอาที่สนามบิน ราคารถ 5 วัน แค่ 5,500 บาทเท่านั้น ๕๕๕๕

                เพิ่มเติมเรื่องจองรถ ปกติแล้ว ผมใช่การจองรถจาก www.rentalcars.com ครับ แต่มันเต็มแบบ เต็มจริงๆ สุดท้ายแล้ว ตัวช่วยที่มาช่วยผมในครั้งนืคือ Expedia ขอกราบงามๆ ไว้ตรงนี้เลย 

เอาล่ะ นอนพักกันแล้ว ก้อยากจะพาพ่อแม่ไปดูย่านเมืองของโซล แหล่ง shopping ที่สายไหนมา ก็คงจะเดินลืมวันลืมคืนไปเลย แต่ต้องขอโทษด้วย บ้านเราไม่มีใคร Shopping เลย เดินไปก็ไล่ซื้อของกินทีละไม้สองไม้ แบบประมาณว่ามาสัมผัสบรรยากาศแล้วลองทานอะไรแปลกๆ เฉยๆ เดินไปเดินมา อิ่มครับ

                แต่ยังอิ่มไม่ได้ เพราะมาถึงที่นี่แล้ว ต้องได้กินเนื้อย่างเกาหลี แบบที่เกาหลีจริงๆ มื้อนี้ถึงแม้จะแพงหน่อย เพราะอยู่ในถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็ต้องยอม เพราะพ่อกับแม่ ต้องได้กิน เดินเข้าไปในร้าน หยิบเมนูมาสั่ง สั่งแบบพอได้กินแบบได้ลอง

                พออาหารมาถึง พ่อกับแม่แล้วก็พี่ตื่นเต้นมากๆ เพราะที่นี่จะมีคนมาจัดแจงให้ คือมีคนมาตัดเนื้อ ปิ้งย่างให้ ถามนู่นนี่ เสิร์ฟตลอดเวลา จนเราบอกว่า เดี๋ยวเราจัดการเอง รสชาติของเนื้อย่างเกาหลีที่กินมื้อนั่นสำหรับผมยังสื้อร้าน Nice 2 meat you ตรงสยามไม่ได้เลย ๕๕๕

                เรื่องร้านเนื้อย่าง ผมก็ไม่ได้หาข้อมูลมานะ ว่าต้องไปกินร้านไหน หรือแบบร้านไหนไม่ควรพลาด เพียงแต่เราไปเมืองเค้า เค้ามีอะไรให้กินก็กิน คือไม่ได้เน้นว่าจะต้องกินร้านดังครับทริปนี้ เพียงแค่ได้ไปสัมผัสกับอาหารประจำถิ่นเค้า ร้านไหน ก้ได้ ก็ฟินแล้ว ฉะนั้น ทริปนี้ เลยไม่มีรีวิวร้านอาหารนะจร้า

                จริงๆ ทริปครั้งนี้ จะพาพ่อกับแม่กินหมึกสดด้วยแหละ ถ้าใครเคยดูกวนมึนโฮ จะเข้าใจ หมึก Octopus ที่มันเป็นหนวดๆ อ่ะ นี่เคยแล้ว มันดูดกระพุ้งแก้ม น่ากลัวมากกก กัดก็ไม่ขาด กลืมก็ยาก ตอนนั้นจำได้ว่า ยอมกลืมลงไปทั้งตัว แบบทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวเนื้อไม่ขาดดี วันที่สองของทริป เล่นเอาผมหมดแรงไปเลย แต่ก็ดีที่ได้พาพ่อกับแม่ไปเก็บถึงสองที่แหละ นั่นก็คือ N Seoul Tower และ Myeongdong ส่วนที่อื่นๆ ถ้ามีเวลา เดี๋ยวมาไล่เก็บกันอีกที สำหรับคืนที่สองคืนนี้ ราตรีสัวสดิ์ครับ

DAY 3 – Trip is begins

อยู่มาสองวัน คำว่า Road Trip จริงๆ พึ่งเกิดขึ้นวันที่สามนี่แหละครับ หลังจากที่จองรถผ่าน Expedia ได้ในราคา 7,000 กว่าบาท วันนี้เราต้องตื่นเช้า เพื่อไปเอารถอีกเมืองที่ฝั่ง Incheon ครับ ด้วยความไม่ได้วางแผน เลยเก็บกระเป๋ากันทุกคน แล้วแอบ Check out ลากกระเป๋าเดินออกมาจากที่พัก ตีห้าที่นี่มันหนาวโคตรๆ

ลากกระเป๋ากัน 5-6 ใบ สี่คนพ่อแม่ลูก ข้ามถนนไปเตรียมโบก Taxi แล้วก็เจอปัญหาเดิมครับ เค้าไปไม่ได้ บอกของเราเยอะ พื้นที่ไม่เพียงพอ นี่เลยตัดสินใจให้พ่อกับพี่เมกลับไปที่พักก่อน แล้วเดี๋ยวไมกับแม่จะนั่ง Taxi ไปเอารถกันสองคนอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยก็สามารถติดต่อกันได้ เพราะโรงแรมมี wifi

นั่งรถไปได้ 15 นาทีก็ถึงครับ แล้วมันก็ 10 กิโลอย่างที่แผนที่บอกเด๊ะๆ ค่า Taxi ถูกกว่าที่คิดคือยู่ที่ 11,000 KRW แต่ลงไปก็ยังหา Shop AJ rent a cars ไม่ถูกนะครับ ดีที่เจอคนเกาหลีคนหนึ่ง เหมือนกำลังรอเพื่อนอยู่ล่างตึก เราก็เลยเข้าไปถาม ว่ารู้จักที่นี่ไหม ด้วยเมคเซ็นต์แล้ว เหมือนมีต่างชาติมาถามเราอ่ะ หนูๆ บูสเช่ารถของบริษัท AVIS อยู่ที่ไหน ให้ตายเถอะ เป็นเรา เราก็ไม่รู้ แต่ดีที่ในใบจอง มันมีเบอร์โทรศัพท์ เค้าก็เลยโทรถามทางให้

สรุปคือ บูทรับรถ อยู่ชั้นใต้ดิน ปั๊ดโถ่ ดีใจมากๆ เหมือนว่าจะได้รถขับอย่างราบรื่น แต่เปล่าเลย พนักงานเหมือนหา booking no. เราไม่เจอ ใช้เวลาเกิน 30 นาที ในการหา เรียกได้ว่าใจเสียไปแล้วอ่ะ สุดท้ายก็เจอจนได้ ผมไม่มั่นใจว่าด้วยระบบหรือแม่งไม่เข้าใจอะไร ทำไมถึงหาไม่เจอตอนแรก

การขับรถใหนเกาหลี ค่อนข้างยาก และเยอะนะครับ สิ่งแรกที่ควรรู้คือ ใช้เพียงใบขับขี่สากลใบเดียวไม่ได้นะ เพราะในใบขับขี่สากล ไม่ได้รองรับประเทศเกาหลีไว้ เราต้องใช้ใบขับขี่ประเทศไทยแนบมาด้วย สรุปคือ ต้องมีเอกสารสามอย่างอ้างอิง

  1. Passport
  2. International License
  3. Thai License

ซึ่งรถที่ได้วันนี้เป็นรถสีดำ KIA Sentosa ถ้าจำไม่ผิด ขนาดใหญ่พอสมควร นั่งได้ 5 คน พร้อมจุสัมภาระกระเป๋าใบใหญ่ได้ 2 ใบ ใบเล็กอีก 3-4 ใบ พนักงานพาเราดูรอบตัวรถ แล้วที่ค่อนข้างขิงของที่นี่ คือ พนักงานตรวจเยอะมากกกก แบบ ดูแล้วดูอีก ดูแล้วดูอีก คือเยอะจริงๆ

รถที่เราเช่าเป็นของ AVIS ครับ แต่อย่างที่บอก ว่า AVIS deal กับ AJ rent a cars ฉะนั้น รถคันนี้เลยกลายเป็นของ AF rent a cars ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ค่อนข้างที่จะสำคัญ เพราะมันน่าจะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลในหนึ่งแหละ ถึงไม่ Public ให้บริษัทต่างชาติ มาดูแลเรื่องการคมนาคมด้วยตัวเอง

เรื่องที่สำคัญเรื่องที่สองของประเทศนี้คือ Google map ไม่สามารถ Access เข้ามาดูถนนหนทางของประเทศนี้ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ เหมือนรัฐบาลไม่อนุญาตให้ google map บอกแผนที่การเดินทางของเรานั่นเอง จะบอกแค่วิธีไปแบบสาธารณะเท่านั้น ซึ่งลำบากมากๆ สำหรับคนที่ไป Road Trip จะบอกว่าไม่ยากใช่ไหม เพราะรถเช่าก็ต้องมีแผนที่อยู่แล้ว และนี่คือเรื่องที่น่ารำคาญเข้าไปใหญ่ แผนที่ในรถเช่า ไม่สามารถ search หาชื่อสถานที่ได้โดยตรง คือสมมติว่า จะกลับสนามบิน Incheon International Airport เราไม่สามารถพิมพ์ว่า Incheon International Airport ได้เลย มันไม่ขึ้น มันลำบากมากๆ ที่จะต้องไปหาที่อยู่ ที่ตั้ง ตำบล เมือง อำเภอ เพื่อเอามา search ใน car map

พูดง่ายๆ คือมันเสียเวลา ใครที่จะขับรถในเกาหลี แนะนำให้โหลด Maps.me ไว้เผื่อด้วย เผื่อเราหาที่อยู่ของสถานที่ที่ไปไม่เจอ แล้วบางทีเวลาเราปักหมุด หรือ pin ไป มันก็ไม่ให้นะ มันให้ระบุสถานที่ให้ชัดเจน นี่คือความยากลำบากมากๆ ของการขับรถเที่ยวที่เกาหลี เอาล่ะ จริงๆ ความน่ารำคาญของการขับรถบนถนนเกาหลีก็มี หลังจากที่ได้รถ เช็คของ เช็คความเสียหายเสร็จ ก็กลับไปรับพ่อกับพี่ที่ที่พัก ยกของขึ้น ก็ดิ่งไปที่ Yongpyeng Ski Resort แบบไม่รอช้า ถนนที่นี่ดีตรงที่ว่า ไม่มีทางขรุขระ คนขับก็เหมือนทั่วโลก มีมารยาทบ้าง ไมมีบ้าง แต่ที่สร้างความน่ารำคาญคือ มีกล้องจับความเร็วทุกจุด OMG!!!! เหมือนว่ารถทุกคนในประเทศนี้จะต้องติดตัวจับ GPS และระบบอะไรบางอย่างให้มันเข้าไปในรถอ่ะ เหมือนถ้าโดนจับระบบในระก็จะแจ้งเลยว่ากล้องถ่ายรูป update มาที่รถคุณแล้ว แล้วคือเวลาเราเจอป้ายจำกัดความเร็ว เช่น 80 km ถ้าเราขับเกินเมื่อไหร่ มันจะร้องแบบน่ารำคาญมาก จนกว่าเราจะขับไม่เกิน 80 km/h ซึ่งสำหรับผม ผมว่ามันเป็นความน่ารำคาญที่ดีมากๆ แต่จะดีมาก ถ้าไม่มีถี่ทุกๆ 10 กิโลเมตรแบบนี้ ๕๕๕๕

ไม่นานนัก.. ไม่ใช่สิ ครึ่งวันได้ เราเดินทางมาถึง Yongpyeng Ski Resort ครับ ซึ่งจริงๆ แล้วที่นี่ก็มีลานสกีให้เล่นประมาณ 2-3 ที่เลย แต่ที่ที่สวยที่ที่สุดที่หาข้อมูลระหว่างทาง และสอบถามจากคนเกาหลีหลายๆ คน คือต้องที่ Yongpyeng Ski Resort พี่ปุยฝ้ายบอกผมว่า ถ้าอยากได้ราคาถูก ต้องหาเช่าอุปกรณ์และซื้อ Lift จากข้างนอกไป จะได้ส่วนลด 30-35% ซึ่งเราก็ทำตามครับ

ร้านที่เราไป เป็นร้านอยู่หัวมุมทางโค้ง ยังไม่เข้าไปใน Downtown ของที่นี่มาก แต่ก็ถือเป็นร้านที่สังเกตุเห็นได้ไม่ยาก ชื่อร้าน Discovery เราเข้าไปเช่าชุด และพยายามสอบถามทุกอย่างที่เราต้องการรู้ เพราะพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งดีมากๆ โดยเราเก็บข้อมูลมาเพียบ และได้ข้อสรุปคร่าวๆ สำหรับวันนี้คือ

  1. เช่าชุดสำหรับช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ แล้วขอเอากลับบ้านเลย เผื่อจะออกไปเล่นคืนนี้ได้ เพราะที่นี่ ลานสกีปิด 4 ทุ่ม
  2. ไปตกปลาเทราซืในเองใกล้ๆ นี้ ห่างจากตรงนี้ราวๆ 6-8 กิโลเมตร เสร็จแล้วถึงจะกลับเข้าที่พัก

เบ็ดเสร็จ ชุดที่ได้ก็จะประมาณนี้ ราคาถือว่าไม่ได้แพงมากครับ ตกเฉลี่ย หารกันคนละ 3,800 กว่าบาท เมื่อแปลงเป็นเงินไทยแล้ว ราคานี้คือรวม Lift Ticket ด้วยเลยนะ คือสามารถขึ้นไปที่จุดสูงสุดของการเล่นครั้งนี้ได้เลย

เอาล่ะ ทีนี้เราก็จะไปตกปลาเทราต์กัน ซึ่งจากที่คุยกับพนักงาน เราได้ Add Line เพื่อที่จะให้เค้าส่ง Location ของที่ตกปลาเทราต์ให้ แต่สุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เค้าเพยงแต่ส่ง link website มาให้แทน นี่ก็เลยลำบากเค้าไปใหญ่ ใช้เวลางมอยู่นาน เลยตัดสินใจขับออกไปตาม GPS ที่มันไม่ได้ปักหมุดไว้ แต่เอาแค่แบบให้ทิศทางมันไปตรงนั้นอ่ะ งงป้ะ ๕๕๕ ทีนี้ก็จอดถามไปเรื่อยๆ เค้าก็บอกตรงไปอีก 3-4 กิโลเมตร ยังดีที่ต่างจังหวัดของเกาหลียังพอพูดประกิดได้บ้าง

ระหว่างที่ไป เหมือนจิตใต้สำนึกมันบอกว่าเรามาถูกทางแล้ว เพราะข้างทางเริ่มมีป้ายงานติดเต็มสองข้างเสาไฟ ขับไปเรื่อยๆ โอโหหหห รถจอดกันแบบ ไม่มีที่จอดจนล้นออกมานอกถนนสองฝั่ง เราดีใจมาก ที่คิดว่าเรามาถึงแล้ว หาที่จอด ลงจากรถ อากาศกำลังดีที่ 5 องศา แต่ดูเหมือนว่ามันจะต่ำลงเรื่อยๆ เพราะพระอาทิตย์กำลังจะหมดวันนั่นเอง นี่ก็เดินตามเข้างานไป จนไปถึงจุดขายตั๋ว ก้ไปต่อคิวเข้าซื้อ แต่ตั๋วแพงมากเลย คนละ 15,000 KRW เสร็จแล้วก็ต้องไปซื้อเบ็ดตกปลาอีก 7,500 KRW จริงๆ มันมีหลายราคา แต่เราเอาแบบธรรมดาสุดๆ

ภายในงานคือดีมาก เหมือนงานเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา แต่ที่นี่เป็นหิมะ คือก็จะมีพวกสเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้ง บานานาโบ๊ทแบบหิมะ เครื่องเล่นต่างๆ ขับเอทีวี สไลด์เดอร์หิมะ และที่พลาดไม่ได้คือ การขุดบ่อเล็กๆ เพื่อตกปลาเทราต์นี่แหละ สุดๆ ไปเลย

ซื้อตั๋ว แลกบัตร แล้วเข้าไปในโซนตกปลา คือชอบมากก ทุกคนดูเอาจริงเอาจัง บางคนเอาเสื่อเอาฟูกมานอน และขอแนะนำเลยว่า เก้าอี้ต้องมี เพราะการตกปลา มันไม่ใช่แค่หย่อนไปนาทีสองนาทีก็ได้ แต่เป็นชั่วโมงยังไม่ได้ก็มี ใจจริง เราอยากตกได้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้าได้ก็เก่งเว่อร์ แต่เราก็ได้รับบรรยากาศเทศกาลของชาวเกาหลีช่วงหน้าหนาวมาเต็มๆ และคิดว่าคงไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ เรารอจนหนาวมือแข็งและคิดว่าไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจกลับกัน บวกกับเวลาปิดคือ 17.00 น.ด้วยล่ะ พอหน้าหนาว มันก็มืดเร็ว

ที่ตัวงานมีร้านอาหารที่เอาวัตถุดิบมาทำกินสดๆ ด้วยนะ เราเข้าไปที่ร้านแล้วสั่งเอาหารแปลกตาทุกอย่างมาทานกัน คือฟินมาก ตั้งแต่เที่ยวมา พนักงานร้านนี้ ดูแลเราดีที่สุด เค้ารู้ว่าเราจะสื่อสารกับคนบ้านเค้าไม่รู้เรื่อง เค้าเลยจัดแจงทุกยอ่างให้เลย เพียงแค่จ่ายตังค์ รอคิว แล้วเค้าก็ยกมาให้ บ้าไปแล้ว ทุกอย่างไม่ได้ดูดี หรือสวยหรู แต่มันคือ เกาหลีแบบโลคอลอ่ะ ซึ่งนี่ก็ชอบมากๆ ไม่มีจานไหนไม่ชอบเลย อร่อยมาก มื้อนี้ก็หมดไปไม่เยอะเท่าไหร่ อาหารเฉลี่ยตกจานละราวๆ 10,000 KRW ยกเว้นชุดปลาดิบที่แพงหน่อย

เราใช้เวลากินกํนอยู่จนอิ่ม แล้วก็เดินออกไป อ่า… จริงๆ อยากบอกเรื่องน้ำดื่มสาธารณะของพวกฟู้ดคอร์ดของที่นี่มาก คือดีอ่ะ คือจะเป็นแก้วแสตนเลสอย่างดี อยู่ในตู้อบรักษาอุณหภูมิ ทำจำกัดเชื้อโรค และรักษาอัณหภูมิให้อุ่นพอดีมือที่ 38 องศา ไม่ให้เราจับแล้วเย็นมือ แต่นี่ไม่ได้ถ่ายมา ถ้าถ่ายมาเดี๋ยวจะแทรกรูปมาให้ดูทีหลัง

ที่นี่คือถามคือ… แล้วพวกที่ตกปลาได้ล่ะ เค้าจะทำอย่างไรต่อ อ่า ก็ด้วยความที่มันเป็นงานเทศกาล เพราะฉะนั้น มันก็ตองมีเต้นท์รับทำอาหารพวกนี้อยู่แล้ว แต่จะรับทำเพียงอย่างเดียว นั่นคือ เผา ที่นี่เค้ามีที่เผาแบบพร้อมกันเป็นสิบตัว ดูจากแค่เครื่องเผาก็น่ากินแล้ว อากาศเย็นๆ กินอะไรร้อนๆ ท่ามกลางงานเทศกาล ที่มีดนตรีสดของบรรเลงให้ฟัง ให้ตายเถอะ

ถัดไปอีกเต้นท็ก็จะเป็นซุ้มของพวกชาวเกษตรกร และชาวไร่ ใครมีอะไรก็เอามาโชว์ ซึ่งตอนที่เราซื้อตั๋วเข้างานตกปลา ทางเจ้าหน้าที่จะแถม voucher ให้เรามา shopping ในโซนนี้อยู่แล้วคนละ 3,000 KRW ซึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะใช้มัน เอาทุกอย่างที่สามารถเอาได้ คือดีมาก และเจอคนไทยที่นั่นด้วย แต่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวนะ เป็นคนไทยที่มาทำเกษตรกรที่นี่ แล้วมาร่วมขายของในงานนี้ด้วย

คือเรามักจะเจอคนไทยต่างแดน แต่ไม่ค่อยมีคนเค้ามาทัก หรือเราเองก็ไม่กล้าไปทักเค้า แต่เจ๊แก เดินเค้ามาทักเลย สวัสดีปีใหม่ สนุกไหมคะ บระเจ้า จริงๆ ตอนตกปลาเทราต์ก็เจอนะ ที่เล่าเนี่ย คือจะบอกว่าสถานที่ที่เรามา จะไม่เจอคนไทยที่มาเที่ยวบ่อยๆ ไม่เหมือนโซล แต่จะเจอคนไทย ที่มาทำงานที่นี่ไปเลย คือเก๋กู๊ดดดดด

จบเย็น ก็ถึงเวลาเข้าบ้านพัก จริงๆ บ้านพักเราห่างจาก Ski Resort ไปราวๆ 15 นาทีเท่านั้น พอไปถึง เจ้าของบ้านก็มารอเราแล้วล่ะ ที่พักชื่อ Pension In My Arms  เหมือนเป็นบ้านหลังใหญ่ มีหลายห้องให้นอน แต่คืนนั้น ราวกับว่า เราเป็นครอบครัวเดียวที่มานอนที่นั่น อาจจะเพราะราคาแพงด้วยล่ะมั้ง สำหรับเรานะ เพราะว่าไม่ได้อยู่กลางเมือง แต่ราคานี่คือ 4,500 บาทต่อคืนเลย คือ 150,000 KRW อ่ะ

เพื่อนๆ สามารถจองที่พักราคาถูก หรือเปรียบเทียบราคามาแล้วได้ใน Traveloka ครับ เป็นเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นจองที่พักที่ผมใช้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของชีวิตเลย ซึ่งมากกว่าการจองที่พัก ยังสามารถจองตั๋วเครื่องบิน เช่ารถ และแพ็คเกจกิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆ ได้อีกด้วย การจองก็ไม่ยากด้วย คลิ๊กไม่กี่คลิ๊กก็จบเลย ที่สำคัญคือ ทำการจ่าย Booking ได้หลายช่องทางมาก สะดวกสุดๆ

แต่พอเข้าไปดูห้องพัก ก็ต้องบอกเลยว่าให้อภัย ที่พักดีมาก น่าอยู่ น่านอน ไม่น่าออกไปไหนเลย เจ้าของบริการดี ใจดีอีกด้วย วันนี้เป็นอีกวันที่วุ่นวายมากๆ แต่ก็จบไปได้สวยกว่าที่คิดไว้ จริงๆ มีเวลาเหลือให้ไปเล่น Snowboard รอบดึกด้วยนะ แต่ไม่ไหวละ ข้างนอกตอนนั้น -11 องศา ขอนอนพัก แล้วไปซัดกันพรุ่งนี้

DAY 4 – SLEEP LIKE HOMELESS

ทำไมชื่อตอนวันที่สี่มันดูน่ากลัวจังวะ เอางี้ ก่อนที่จะเข้าใจชื่อของวัน รีบตื่นให้ได้ก่อนเหอะ เพราะว่าอุณหภูมิข้างนอกบ้านตอนนี้ ลงไปถึง -18 องศา เป็นสถิติต่ำสุดของทริปนี้เลย ที่พักไม่มั่นใจว่ารวมอาหารเช้าไหม แต่เหมือนว่าเราจะไม่ได้ถามอะไร เพราะกลัวว่าจะไปเล่น Snowboard ไม่ทัน

แต่ก่อนออกจากบ้าน เรารู้สึกว่าบ้านนี้ก็เหมือนบ้านเรา แม่เลยขอให้เจ้าของถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกให้หน่อย เจ้าของก็ใจดี๊ใจดี ถ่ายแล้วถ่ายอีก เหมือนก็รู้สึกดีที่เรามานอนบ้านเค้า เอาล่ะ ถึงเวลาต้องลากจากกันแล้ว แฟนเจ้าของบ้านก็ออกมาทั้งชุดนอน แล้วบอกลากเราด้วยความรู้สึกยินดีที่ได้มาพักร่วมกัน

15 นาทีก็เดินทางมาถึง Yongpyeng Ski Resort เรานัดเจ้าของร้านเพื่อรับ Lift Ticket บริเวณคลินิค แต่พอเข้าไปก็ไม่เจอ โชคดีที่เค้าโทรมาพอดี เลยให้คุยกับพยาบาล พยาบาลก็บอกทางเรา เราเลยเดินไปเจอเค้า พอรับ Ticket เสร็จมันไม่ได้จบแค่นั้นสิ

Life ขึ้นไปเล่นอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ Booth ที่ใส่กับบอร์ดและที่ล็อคขา มันคนละขนาดกัน นี่โกรธมาก มีของ เช่าก็เสียเงิน แต่เล่นไม่ได้ นอยไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ให้พวก information center โทรหาเค้าแล้วเค้าอีก พอเค้ามา เค้าบอกว่าของหมด เลยไม่ได้เปลี่ยนให้เรา เอา อห!!! ก็คิดว่าจะทำไง เค้าเลยเหมือนแบบเปลี่ยนตำแหน่งให้นิดหน่อย แล้วถามว่าได้ไหม เอ้า!!! ไม่ได้ก็ต้องได้ไหมละ ก็มึงบอกของหมด

โอเค ก่อนที่ทริปจะไม่สนุก เราต้องรีบตัดบทความไม่ราบรื่นตั้งแต่เช้าตรงนี้ออกไป แล้วขึ้นลิฟท์ไปจุดสูงสุดของภูเขา เพื่อเด้าตูดลงมา ไม่สิ เราเล่นเป็นนะ เล่นเป็นแบบเป็นจริงๆ อ่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูบรรยากาศสกีรีสอร์ทที่นี่กัน

ส่วนตอนเล่นผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย แต่ก็ถ่ายวีดีโอไว้บางช่วงนะ ยังไงลองเข้าไปดูบรรยากาศตอนเล่นได้ที่นี่เลย https://goo.gl/9y31zK และขอสรุปให้ฟังแบบสั้นๆ กระทัดรัดได้ใจความสำหรับคนที่อยากจะมาเล่น Snowboard ที่เกาหลีหรือที่นี่

  1. หิมะแข็งมาก ไม่เหมาะสำหรับคนพึ่งเล่นใหม่ๆ เพราะล้มแล้วจะช้ำไปทั้งตัว
  2. หิมะแข็ง อันตราย ทำให้แรงกระแทกเยอะ
  3. วิวไม่สวย เหมือนเล่นไปตามทางบนถนนที่มีหิมะกะบนภูเขา
  4. ส่วนใหญ่หิมะที่นี่เป็นหิมะปลอม คือมได้ตกแบบเยอะๆ จนมันอยู่เองแบบธรรมชาติ แต่ต้องใช้เครื่องปั่นหิมะเข้ามาช่วย
  5. ระดับความยากมีหลายแบบ มีเลนส์ให้เลือกหลายเลนส์ ซึ่งท้าทายพอสมควร แต่ไม่ได้หวือหวา

ห้าข้อสั้นๆ นี่จะทำให้เพื่อนๆ อยากมาที่นี่ไหมนะ แต่ขอบอกว่าถ้ามาแล้ว ก็ควรมาเล่นเหอะ ไม่งั้นเกาหลีของเพื่อนๆ คงจะมีแต่กิน ถ่ายรูปสวยๆ แล้วก็โพสต์เรียกไลค์แค่นั้น มาแล้วก็ต้องเอาให้สุด ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ อนุสรน์ที่เค้าสื่อว่าเคยจัดกีฬาโอลิมปิคที่นี่ ยังไงก็เข้าไปเก็บภาพความทรงจำไว้สักหน่อย เพราะก็ไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะได้จัดงานระดับโลกแบบนี้

เสร็จจากตรงนั้นบอกเลยว่าหิวมาก 7-11 ที่นี่ก็คล้ายๆ Lawson ของญี่ปุ่นครับ มีอาหารให้เลือกเยอะ พร้อมโต๊ะที่ให้เรานั่งทานกันชิลๆ และที่พลาดไม่ได้ถ้ามาเกาหลี คือมาม่า หรือหลอมชอมอะไรสักอย่างที่เค้าชอบพูดกัน ลองดูสักซองครับ แล้วจะติด

จะว่าไปเกาหลีก็เหมือนญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็เหมือนเกาหลี แต่ญี่ปุ่นดีกว่าในเรื่องของคนเท่าที่เราสัมผัสดู เอาล่ะ วันนี้หนทางยังอีกยากไกล เราต้องขับจาก PYEONGCHANG ไป POHANG แบบยังไม่รู้ว่าจะพักที่ไหน แล้วที่นั่นจะมีอะไรบ้าง มันเป็นแค่ข้อมูลที่รู้มา แต่ก็ไม่การันตีว่าเราจะไปเจอบรรยากาศแบบที่เราคิดไว้หรือเปล่า สี่ชั่วโมงต่อจากนี้ คือการขับรถยาวรวดเดียวจนไปถึง POHANG

ผ่านไปสี่ชั่วโมงเราก็มาถึง POHANG ที่นี่เป็นเมืองที่ใหญ่มาก ถนนมี 10 เลนส์ ไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้ แต่เราไม่ได้พักที่ POHANG นะ เราจะไปพักกันบริเวณปลายสุดทางทศตะวันออกของประเทศนี้ที่ Hamagot ดินแดงแหงพระอาทิตย์เหนือทะเลรุ่งเช้าวันใหม่ จริงๆ ระหว่างทางตอนขับรถมา เราพยายามหาที่พักแล้วล่ะ แต่มันหาไม่ได้เลย เราก็ใช้สูตรไปตายเอาดาบหน้าเหมือนเดิม คือขับไปแล้วค่อยไปหาที่พัก ถ้าไม่ได้ก็นอนรถ แต่ใครจะไปคิด ว่าตอนที่เรากำลังเดินทางเข้าไปจาก Pohang – Hamagot ภูมิประเทศจะเป็นชายทะเล เหว และภูเขา

โอ้ววว ไม่ ทำไมไม่มีรถเลย ทำไมไม่เห็นมีคนขับรถมาทางเดียวกันกับเราเลย หรือว่า ที่นั่น มันจะไม่มีงานปีใหม่จริงๆ เป็นแค่ข่าวลืม หรือข้อมูลมั่วๆ รึป่าว แต่พอขับเข้าใกล้ hamagot เราเจอตำรวจ และถามว่าอยากหาที่นอน //ทำท่านอน// ตำรวจก็ชี้ให้ตรงไป ทางเริ่มแคบเรื่อยๆ บ้านเริ่มเยอะ โอ้วโหหหววว

รถจอดกันเต็มเลย และดูเหมือนว่ากำลังจะติดในเร็วๆ นี้ ด้านซ้ายมือเรามีงานจริงๆ ด้วย เสียงดนตรีดังลอยกลางอากาศมากระทบใส่หูเราพรางบอกให้มึงรีบหาที่พัก นี่ก็เลยเห็นป้ายอะไรก็จอด ดูแผนที่ขับตาม ที่แรกขนของเข้าไปเรียบร้อย คุยกันดิบดี อุตส่าห์ดีใจได้ห้องคืนละ 30,000 KRW แต่เปล่าอิดอก ตอนมาเก็บ จะเอาก็ 300,000 อิเหี้ย แล้วคือเป็นบ้านธรรมดาที่เปิดให้มานอนเฉยๆ คืนละ 9,000 บาท มึงบ้าป้ะ

ขับออก ตามหาอีก 3-4 ที่ ทุกที่เต็มหมด หรือถ้ามี ก็จะเป็นบ้านของคนที่อยู่ที่นั่นแล้วให้เราจ่ายแบบ 200,000 KRW up เราคุยกับพ่อแม่แล้ว ว่าขอนอนในรถดีกว่า เพราะเดี๋ยวเราต้องอยู่ Count Down แล้วรีบตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่มือเนหือทะเล Hamagot ด้วย สุดท้าย คือเดี๋ยวนอนในรถ แต่ๆๆ ปัญหาอีกอย่างคือ ที่จอด เนื่องจากว่าประเพณีนี้เป็นพระเพณีที่ดังมากๆ ในเกาหลีครับ มีข่าว มีดารา เดินทางมาแสดง แล้วคือ ที่จอดรถเผื่อไว้รอบงานเป็นสองสามสนามฟุตบอล เราเลยเสี่ยงขับเข้ามในงาน แล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่า เราจองที่พักไว้ข้างใน ๕๕๕ ร้ายไหม สุดท้าย ก็ได้ที่จอด

ตอนแรกพ่อกับแม่เหนื่อย แล้วบอกว่านอนรอในรถ นี่ก็ลากลงมาแล้วบอกว่า ไปดูเทศกาลเค้าหน่อย เราไม่ได้มาบ่อยๆ เดี๋ยวไปหาอะไรกิน แล้วค่อยเดินกลับมานอนที่รถก็ได้ ระหว่างเดินไป ก็เจอร้านข้างทางต่างๆ มากมาย และสุดท้ายมีเสียงเพลงดังมาจากเต้นท์ๆ หนึ่ง และพอเข้าไปก็พบว่า แม่งเอ้ยยยยยยย กูเจอที่นอนแล้ว

ที่นี่แม่งคืองานกาชาดดีๆ นี่เอง ๕๕๕ เหมือนว่าที่นี่เค้าจัดกันอยู่แล้วทุกปีครับ ซึ่งเราก็ไม่คิดว่ามันจะมีบรรยากาศอะไรแบบนี้ คือไม่ได้หวือหวา แต่ก็พอตัว ภายในเต้นท์สีขายมีทั้งรุ่นเดอะรุ่นเราอยู่ข้างในเดินวนเวียนและจองที่นอนกันบนพื้น ตลอดทั้งคืนมีเสียงเพลง เสียงร้องคาราโอเกะ มีซุ้มร้านขายของรวมไปถึงแจกของกิน เครื่องดื่ม และบริการชาร์จโทรศัพท์ฟรี มากไปกว่านั้นคือ มี Heater ให้ด้วยครับ

พูดตรงๆ คือกินจนจุก พ่อแม่ก็นอนรออยู่ข้างใน ข้างนอกจะเป็นโซนการแสดงอีกโซน ซึ่งจะมีทั้งนักร้องนักแสดงมาแสดงให้ดูกันหน้าเวทีครับ คนดูเยอะมาก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ มีซุ้มให้เขียนคำอวยพรปีใหม่ และลาจากปีเก่า ซึ่งเราก้ไปเขียนมา อ่านรีวิวมาเพิ่มเติมนิเดหน่อย จะมีคนต้มน้ำซุมขนาดใหญ่ทำอะไรไม่รู้ แต่แบบ คอยเติมเชื้อเพลิงที่เป็นไม้เข้าไปตลอดทั้งคืน คือต้องบอกว่าหม้อใหญ่มาก เราไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไรแต่เดี๋ยวตอนเช้าคงได้ทานกัน

 เที่ยงคืน ก่อน Countdown 10 นาที ผมปลุกแม่ให้มาดูพลุปีใหม่ แต่พ่อกับแม่บอกหนาว ขอดูจากข้างใน จากที่เคยไปงานปีใหม่ ผมไม่คิดว่าจะเจอพลุในสถานที่แบบนี้เลย คือทุกปีใหม่ผมจะอยู่ต่างประเทศ แล้วคือพอนับถอยหลังสิ้นปีเสร็จ ทุกคนแค่เฮ้ แล้วแยกย้ายกันกลับ แต่ที่นี่ จุดฟลุยาวๆ ร่วมๆ 5-10 นาทีเลย คือสวยมาก อาจไม่เยอะ ไม่กว้างใหญ่ แต่มาตลอด หลายคนกอดกับคนรักหลังพลุจบ เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ

จากนี้จนไปถึง 6 โมงเช้า เราจะนอนอยู่ในโดนขาวครับ ซึ่งมี Heater แต่ก็หนาวพอตัว นอนไม่ได้หลับสนิท แต่ก็ดีกว่าไม่ได้นอน และไม่คิดว่าตัวเองและครอบครัวจะนอนได้ด้วย สุดท้าย ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 10 นาที ทุกคนเริ่มเคลื่อนตัวไปที่มือ Hamagot โหหหหหหหหหหหห มีทั้งนักข่าว มารายงานข่าวแบบสดๆ เหมือนเรื่องเล่าเช้านี้ คือขนาดนั้นเลย แล้วคือคนเยอะมากกกกกก

และในที่สุด สิ่งที่เราเฝ้ารอสำหรับการเดินทางมาเกาหลีในทริปนี้ ก็มาถึง… ให้ภาพเล่าเรื่องความประทับใจในโมเม้นท์นั้น น่าจะดีกว่าคำบรรยายของผม…

นี่น่าจะเป็นเช้าตรู่ที่แสนประทับใจไม่น้อยในชีวิตของผม เป็นบรรยากาศยามเช้าต่างแดนที่มหัศจรรย์มากๆ ถ้าถามว่าให้มาอีกมาใหม่ ก็คงไม่ได้อยากมาขนาดนั้น เพราะรู้แล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าถามคนที่ยังไม่เคยมาว่าควรมาไหม ขอบอกว่า ควรมาโคตรๆ

DAY 5 – Still Unplan

เช้าวันนี้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากๆ แล้วเราก็ได้ได้ลองกินไอ่ที่เข้าต้มๆ กันทั้งคืนจริงๆ ครับ รสชาติถ้าแดกที่ไทยคือน้ำซาวข้าว แต่พอแดกที่เกาหลีแม่งดีสัส เพราะแม่งอุ่น มีรสชาติหน่อยๆ แล้วกินท่ามกลางบรรยากาศติดลบ โอ้โหหหห ดีงามมากๆ

เราออกเดินทางแบบเนื้อตัวมอมแมมเล็กน้อย ก็คือไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เช้าเมื่อวานนั่นแหละ รวมถึงแปลงฟันด้วย ระหว่างทางกลับผมคิดว่ามันจะต้องมีโรงอาบน้ำสาธารณะแน่ๆ ก็พยายามดูตามแผนที่ว่ามันจะมีสัญลักษณ์อะไรที่บอกว่าเป็นโรงอาบน้ำรึป่าว และระหว่างทางกลับจาก Pohang เข้ากรุง Seoul ผมก็เจอจริงๆ ครับ

ที่นี่คือ….. เป็นดรงอาบน้ำในหมู่บ้าน….. ซึ่งเราออกจากทางด่วน ขับตามทางที่อยู่ในแผนที่ แล้วเข้าจอด บอกเลยว่านี่คือครั้งแรกของการเข้าโรงอาบน้ำที่เกาหลี ไปญี่ปุ่นยังไม่ขนาดนี้ เพราะที่ญี่ปุ่น อย่างมาก ก็แค่แช่ออนเซนรวม แต่นี่ คือโรงอาบน้ำแบบของหมู่บ้านอ่ะเก็ทป้ะ เข้าไปถามคุณลุงคุณป้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของที่ เค้าก็บอกว่า คนละ 6,000 KRW ก็ตกคนละ 180 บาท มีสบู่ ผ้าเช็ดตัวให้ นี่ก็ถามพ่อแม่อีกครั้งว่าเอาไหม แต่ก็ควรนั่นแหละ เพราะยังไม่ได้อาบน้ำกันเลย และกว่าจะถึง Seoul คงเย็นไม่ก็ดึกแน่นอน สรุปคือ ลงกันทั้งบ้าน

“เตรียมแค่เสื้อผ้า และของส่วนตัวที่จะไปใช้ ผู้หญิงอยู่ชั้นหนึ่ง ผู้ชายอยู่ชั้นสอง ขั้นแรกเอารองเท้าใส่ Locker ขั้นสองคือถอดเสื้อผ้าหมด แล้วเอาของใส่ Locker เสื้อผ้า จริงๆ ก็ไม่ควรตกใจในการแก้ผ้าอาบน้ำรวมแบบนี้ แต่แม่งก็ไม่ชินสักที คือกระจู๋เด็กกระดอผู้ใหญ่ห้อยไปห้อยมา เดินเล่นคุยกันเหมือนไม่รู้สึกอะไร เอ้า… ถ้ามึงไม่อาย กูก็ไม่อาย ๕๕๕๕ ถอดเสื้อผ้าเสร็จเดินด้วยความมั่นใจ ต้องคิดเอาไว้ ว่าไม่มีใครมอง_วยเราแน่ๆ พอเข้าในห้องอาบน้ำ ก็ต้องล้างตัวก่อน จากนั้นก็ลงอ่าง ซึ่งอุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 40 องศา แช่สัก 10 นาทีกำลังดี พอขึ้นมา ก็อาบน้ำล้างตัวให้สะอาดอีกรอบหนึ่ง คือดีมาก บอกเลย

ข้างในก็จะมีครีมนวด ไดร์เป่าผม ไข่จิ้มเกลือ และเครื่องดื่มต่างๆ ให้เราหยิบกัน ทุกอย่างฟรีหมด ยกเว้นของกิน ต้องขอโทษที่ไม่ได้เก็บภาพมาฝาก คือถ้าเอากล้องเข้าไปถ่าย ก็กลัวถูกรุมตี คือเอาจริง ชอบมากๆ อาบน้ำเสร็จ ถอดเสื้อผ้าดูทีวีกันต่อ นี่ก็ทำตามเค้านะ รู้สึกสบาย โล่ง แม่งมันคือธรรมชาติจริงๆ”

เสร็จจากตรงนั้น เราก็ขับยาวเรียบไปตาททะเลฝั่งวันออกของเกาหลี ก่อนที่จะเข้าไปในตัวแผ่นดินยิงยาวเข้า Seoul คือต้องขอบอกว่า แถบติดทะเลเนี่ย ถ้าเพื่อนๆ ขับผ่าน จะเห็นร้านที่มีสัญลักษณ์เป็นปูตัวใหญ่ๆ เยอะมาก มันคือปูยักษ์ที่เราชอบบินไปกินที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ แต่หน้าหนาวมันไม่ค่อยมีหรอก นี่ก็เที่ยงแล้ว อ่าาา.. ลองแวะกินสักร้าน

 

เข้าไปปึบบอกเลยว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง ร้านนี้ผมไม่รู้ชื่อร้านด้วยซ้ำ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสได้ไป เจอร้านไหนน่าทาน ก็จอดกันเองเองเลย มาดูเมนูของพวกเรากันดีกว่า คือเมนูที่เราสั่งอ่ะ //อันนี้คือคุยรู้เรื่องแล้ววนะ หลังจากที่ใช้ google translate ช่วยชีวิตอยู่นาน สรุปเมนูของพวกเราคือ เอาปลาอะไรไม่รู้ มาแร่เนื้อออกเป็น Sashimi แล้วเอาพวกโครงร่างก้างปลาง มาทำเป็นซุป อื้อหืออออ…. สุโค่ยยย!!!

จะบอกว่ามันอร่อยแบบของมันอ่ะ ไม่สามารถมีอะไรมาเปรียบเทียบได้ เพราะใช้ความรู้สึกในการลิ้มรสอาหาร เอาเป็นว่า มันดีย์ บรรยากาศร้านดีย์ เราเข้าถีงความเป็น Local ไม่ใช่ร้านที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือเข้าไปคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ได้กิน จบปิ้ง!!!

และระหว่างทางที่ผมกำลังขับรถอยู่ ก็ทำให้ผมนั้นขับรถผิดจราจรไปโดยปริยาย เพราะมีพื้นที่ให้เล่น Surf ด้วย โอ้วแม่เจ้าาาา อห!!!! สวรรค์ชัดๆ นี่มันบ้าอะไรเนี่ย Pohang คืออีกเมืองที่น่ามาแยะจริงๆ แล้วคือคลื่นก็ไม่เล็กเลยนะ บรรยากาศดี นี่เลยรีบไปเก็บบรรยากาศเอาไว้ คือดีจริงๆ

เอาล่ะ ขอตัดไปที่ Seoul เลยแล้วกัน เราใช้เวลานานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าถึงที่พักราวๆ ทุ่มเศษๆ ขับรถตาม Map ใน Booking.com มา ถ้าอิงจาก GPS ในรถ กูตายแน่ๆ สรุป วันนั้น พ่อเป็นไข้เลย เพราะอากาศหนาว พักไม่พอ แล้วดันไม่แช่น้ำร้อนนานอีก หลังจากเอาของเก็บ พ่อเลยขอนอนพักอยู่ที่ห้องคนเดียว

อ่าาา… ห้องที่เราได้คืนนี้แม่งเป็นเหมือนม่านรู้ดอ่ะ แต่ม่านรู้ดที่นี่แม่งดีเนอะ เป็นแบบกึ่งพักค้างคืนได้ด้วย แต่ก็หวาดเสียวอยู่ นี่นอนกับพี่ ที่พักชื่อ Hotel Pop Jongno  ใครสนใจก็จองนอนกันได้ มีอ่างอาบน้ำกลางห้อง คือไรรรร ๕๕๕ เอาล่ะ เราลงไปหาของกินด้นาล่าง และเราก็เจอร้านเนื้อย่างเกาหลี ที่ราคาถูกกว่าเมียงดงมากๆ ไม่คิดอะไรเลย จัดไป

 การกินเนื้อย่างเกาหลีครั้งนี้ ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า อย่าหาร้านอาหารกินแถวเมียงดง เพราะแพงเหี้ยๆ มากินที่นี่ ราคาถูกกว่ากัน 3 เท่า ไอ่บ้าเอ้ย กินไปตั้งเยอะ จ่ายไปแค่ 60,000 KRW เอง สั่งทั้งเนื้อ ทั้งเบียร์แล้วก็เม้ามอยกันตามประสบแม่ลูก

คืนนั้นอากาศหนาวครับ ที่นั่นตอนนั้นยังคงติดลบ -13 องศาเบาๆ เบาเหี้ยไรล่ะ โคตรหนาวเลยจะบอกให้ พรุ่งนี้เรามีแพลนจะเดินทางไปพระราชวังชื่อดังของที่นั่น ก่อนที่จะไปเก็บสรอเบอร์รี่กินกันสดๆ ที่ไร่ แล้วกลับไปสนามบิน เพื่อบินกลับบ้าน หื้ออออ อยากกลับแล้ววว หนาววววว เป็นโรคเที่ยวนานไม่ได้ จะเบื่อเอา ๕๕๕๕

DAY 6 – Family

วันนี้คืวันที่ 2 มกราคม 2019 ครับ หลายคนคงเริ่มทำงานกันแล้ว แต่เรายังอยู่ที Seoul กันอยู่เลย วันนี้จะพาพ่อแม่แล้วก็พี่ไปเดิน Gyeongbukgung Palace  เอาจริงๆ แล้วถ้าจะให้อิน ก็ต้องศึกษาข้อมูลก่อนมาเที่ยว จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ดูจากคนในบ้านผมแล้ว ไม่ตื่นเต้นอะไรกับการเข้าพระราชวังกันเลย

อ่าาาา… สำหรับคนที่เช่ารถขับ ที่พระราชวังมีโรงจอดรถนะครับ ชม.ละ 800 KRW เท่านั้น ซึ่งจอดครั้งแรกคิดราคาราคา 3,000 KRW ถ้าจำไม่ผิด จอดได้ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นถึงจะคิด ชม.ละ 800 KRW อยู่ทางฝั่งซ้ายมือของพระราชวัง ยังไงลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่เลย https://goo.gl/nCwA9Z

ค่าเข้าชมพระราชวังคนละ 2,400 KRW แนะนำให้เช่าชุดฮันบกใส่เข้าไปถ่ายรูปนะ สวยมากๆ นี่อยากให้พ่อกับแม่ใส่ แต่พ่อปวดขา เป็นไข้ ไม่สะดวก แล้วแม่ก็ไม่อยากใส่ด้วย เลยไม่ได้เช่าให้ใส่เลย คือเห็นพ่อป่วย แล้วปวดขา //เป็นเก๊า บวกกับกระดูกโผล่มาทับเส้น เลยทำให้เดินลำบาก  ก็เลยไปติดต่อขอรถเข็น สรุปขอได้ด้วย ฟรี ไม่เสียตัง เพียงแค่บอกชื่อ แล้วแจ้งว่าจะใช้กี่ชั่วโมงแค่นั้น ซึ่งหากใครพาผู้สูงอายุมา ไม่ใช่ปัญหาเลยครับสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ มีรถเข็นบริการด้วย ต้องขอบอกเลยว่า พระราชวังใหญ่มาก ผู้ใหญ่ขี้เกียจเดินแน่นอน อย่างเราวัยรุ่นยังขี้เกียจเลย

อ่าาา… จะบอกว่ามีแผ่นพับข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังเป็นภาษาไทยด้วยนะ หยิบได้จากที่ซื้อบัตรเลย อ่านก่อน จะได้เข้าใจ เพราะจะทำให้เราอินกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ นี่เดินไปจนถึงศาลากลางน้ำ ปั๊ดโถ่ ปิดซะงั้น คิดถูกแล้วที่เอารถเข็นให้พ่อ ไม่งั้นเดินเสียเปล่าเลย

และทุก 10 โมงเช้า จะมีการแสดงหน้าลานพระราชวัง เป็นการแสดงที่เรียกว่…สัส! พูดเหมือนรู้ ๕๕๕ ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร แต่มันมีการแสดงครับ แล้วอีกเรื่องที่พลาดไม่ได้คือ พระราชวัง จะเปิดให้เข้าชม 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น แต่ช่วงหน้าร้อนจะเปิดถึง 6 โมงครึ่ง และจะปิดทุกๆ วันอังคาร ยังไงใครไปก็ดูดีๆ ล่ะ ไม่ใช่แพลนเสียดิบดี สุดท้ายเข้าพระราชวังไม่ได้ เสียหมาเลยน้าาาาา

เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะต้องบินกลับรอบ 4 โมงเย็น ระหว่างนี้เรายังพอมีเวลา เป็นไปได้อากถึงสนามบินสักบ่ายโมงครึ่ง เพราะต้องจัดแจงกระเป๋ากันอีก เพื่อนส่งไร่สตรอเบอร์รี่ที่ใกล้ Seoul มาให้ บอกเลยว่าอ่านไม่ออก และก็ไม่สามารถค้นหาใน Google map หรือ GPs รถได้ รู้ไหมทำยังไง เปิด Website Reference แล้วใช้ Maps.me จิ้มแล้วให้รถขับตาม คือโคตรลำบาก แต่ก็จะไป ถามว่าเสี่ยงไหมในการหลงทาง เสี่ยงมากๆ แต่จะบอกว่านี่เป็นการไปตายเอาอาบหน้าก่อนกลับด้วย เพราะก่อนหน้านี้ ช่วงที่ Check out ให้ทางโรงแรมโทรเช็คเค้าแล้ว ว่าวันนี้เค้าเปิดไหม เค้าบอกว่าเปิด แต่เปิดบ่ายหนึ่ง ด้วยความว่าทางผ่าน อยากไปจริงๆ ก็เลยขับไปด่ะ พอขับไปอยากจะร้องไห้ แม่งปิดจริงๆ

นี่ถ่าย Vlog อยู่ ก็เลยทำท่าไปว่ามันปิดจริงๆ นะเหมือนแบบ ทำท่าเคาะประตู ดึงกลอน สรุปมีเสียงลอดออกมาจากข้างในเหมือนมีคนอยู่ แล้วเค้าก็เปิด แน่นอน คุยกันไม่รู้เรื่อง นี่เลยทำท่าเก็บ แล้วก็แดก เก็บแล้วก็แดก เป็นภาษามือ ๕๕๕ สุดท้าย อีตาคุณลุงก็บอกให้เราเข้ามา สักพักมีลูกมาช่วย เหมือนไร่นี้เป็นไร่ของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง มีแค่พ่อ แม่ แล้วก็ลูก และลูกสาวน่ารักด้วย

ลูกสาวพูดภาษาอังกฤษได้ ก็พาเราเดินไปชมสรอเบอร์รี่ แล้วก็สอนเด็ด พร้อมเตือนว่าเด็ดแล้วห้ามทานเลย ต้องเอามาล้างก่อน น่าจะมียาฆ่าแมลงแหละ ซึ่งการไปเก็บ เค้าก็จะให้กล่องโฟมเราคนละอัน แล้วก็เก็บมาชั่ง ถ้ายังไม่กินก็ไม่ต้องล่าง wrap แล้วเอากลับบ้านได้เลย แต่ถ้าจะกิน ก็ต้องล้างก่อน ซึ่ง สตรอเบอรร์รี่ลูกใหญ่มากอีดอกกกกก คนตื่นเต้นไม่ใช่กูนะ แม่กู ๕๕๕๕๕

ที่นี่ขาย กก.ละ 20,000 KRW เราซื้อมา 50,000 KWR แบ่งเป็น 4 กล่อง แล้วเจ้าของก็เด้ดมาให้กินฟรีๆ อีกจำนวนหนึ่ง คือดีมาก เหมือนปิดสวนให้เราอะไรแบบนั้น และก่อนกลับ เจ๊แกเปิดแยม Handmade ให้ลองชิม โอ้ยยยย คือดี ซื้อกลับมาแบบไม่ต้องคิดอะไร ล่าสุดไปเกาะล้าน เอาไปให้เพื่อนทาหน้าหนมปังกิน ติดกันงอมแงม

ก่อนกลับเลยถ่ายรูปคือกับคุณลุงคุณป้าไว้ แล้วก็ติดป้ายไร่ด้วย ซึ่งกูอ่านไม่ออก ยังไงใครสนใจ เดี๋ยวจะปักแผนที่เป็นลองติจูดละติจูดให้ หรือหากใครมีความพยายาม ก็เอาชื่อไร่ภาษาเกาหลี ไป search หาข้อมูลได้เลย ๕๕๕๕ แต่จะกลับอยู่แล้วเชียว แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เราไม่ค่อยมั่นใจว่าเรากลับถุกทางรึป่าว และระหว่างทางที่กลับก็ถามว่า แม่เห็นใบคืนรถที่ไมวางไว้เบาะหลังไหม แม่บอกกระดาษสองแผ่นหรอ เราบอกว่าใช่ แม่สวนกลับมาแบบอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า… ” แม่ทิ้งไปแล้ว ” โอ้วโหดดดดดดดดดดวววววววววว ทำไงดีวะเนี่ยกู คือใบนั้นมันจะบอกว่าเราต้องเอารถไปจอดไว้ตรงไหน อะไรยังไง ซึ่งงงงงงงง เราพอจำได้คร่าวๆ แต่พอไปถึงสนามบิน ไปถามพวกเจ้าหน้าที่ แม่งคุยกันไม่รู้เรื่องอีก คนหนึ่งบอกตรงนี้ อีกคนบอกตรงนู่น คือกูขับวนรอบสนามบิน 3 รอบจนโมโหแม่ตัวเอง ๕๕๕๕ สึกแล้วก็ขำ สุดท้าย จอดตรงที่คิดว่าตัวเองจำได้ แล้วให้พ่อแม่กับพี่สาวลงไปเช็คอินก่อน เดี่ยวนี้จะไถบอดร์ดไปจัดการเอง

สรุปคือ เรียบร้อย คืนรถเรียบร้อย น้ำหนักกระเป๋าเรียบร้อย ผ่าน ตม.เรียบร้อย แล้วนั่งกินไก่กับเบียร์ข้างใน duty fee แถวหน้าเกท เตรียมเกทเปิดแล้วบินกลับไทย ทริปนี้ต้องบอกว่าเป็นทริปที่เหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยเดินมาในชีวิต มันผิดเพราะไม่ได้จองของสำคัญมากก่อนนี่แหละ ก็เพราะว่าแพลนเรามันไม่แน่ไม่นอนเอง ๕๕๕๕ แต่ก็นะ ยังหลงรักการเดินทางแบบนี้อยู่ หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนคงจะได้อะไรจากทริปนี้ไม่มากก็น้อย เดี่ยวไมจะทิ้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ด้านล่าง ทุกกิจกรรมตลอดการเดินทาง สวัสดีปีใหม่ 2019 นะครับ ทุกคน แล้วเจอกันระหว่างทางครับ : )

สรุปค่าใช้จ่ายทริป เกาหลี

DAY 1 (28 DEC)

  1. ค่าตั๋วเครื่องบิน 80,000 บาท
  2. Prepaid sim 28,000 KRW (840 บาท)
  3. ค่า Taxi ไปที่พัก 300 บาท
  4. ค่าที่พัก 3,000 บาท

 

DAY 2 (29 DEC)

  1. ค่าเช่ารถ 7,700 บาท
  2. ค่า Taxi เข้าโซล 90,000 KRW (2,700 บาท)
  3. ค่า Namsan Guesthouse 3 95,000 KRW (2,850 บาท)
  4. N Seoul Tower & Burger 2,050 บาท
  5. กุญแจ 11,000 KRW (330 บาท)
  6. Cable care 34,000 KRW (1,000 บาท)
  7. ค่ากินมื้อแรก 100,000 KRW (3,000 บาท)

 

DAY 3 (30 DEC)

  1. ค่า Taxi ไปเอารถเช่า 10,000 KRW (300 บาท)
  2. กิน 60,000 KRW มื้อเช้า (1,800 บาท)
  3. ค่าทางด่วน 12,000 KRW (360 บาท)
  4. ค่าเช่าชุดเล่น Snowboard และ Life ticket 5,000 บาท
  5. ค่ากินมื้อเที่ยง 40,000 KRW (1,200 บาท)
  6. ค่าน้ำมัน 50,000 KRW (1,500 บาท)
  7. ค่าเข้าไปตกปลาเทราต์ 60,000 KRW (1,800 บาท)
  8. ค่ามื้อเย็น 80,000 KRW (2,400 บาท)
  9. ค่าที่พัก 150,000 KRW (4,500 บาท)

 

DAY 4 (31 DEC)

  1. ค่ากินมื้อเช้า 20,000 KRW (600 บาท)
  2. ค่ากินมื้อเที่ยง 50,000 KRW (1,500 บาท)
  3. ค่ากินมื้อเย็น 10,000 KRW (300 บาท)

 

DAY 5 (01 JAN)

  1. ค่าแช๋ Hot Spring 24,000 KRW (720 บาท)
  2. ค่ากินมื้อเที่ยง 110,000 KRW (3,300 บาท)
  3. ค่าน้ำมัน 50,000 KRW (1,500 บาท)
  4. ค่ามื้อเย็น 60,000 KRW (1,800 บาท)
  5. ค่าที่พัก 115,000 KRW (3,450 บาท)

 

DAY 6 (02 JAN)

  1. ค่าเข้าพระราชวังฯ 9,600 KRW (288 บาท)
  2. ค่าจอดรถที่พระราชวัง 2,000 KRW (180 บาท)
  3. ค่าน้ำมัน 30,000 KRW (900 บาท)
  4. ค่าสตรอเบอร์รี่ 50,000 KRW (1,500 บาท)

:: follow us ::

Youtube : goo.gl/Tk9uHo
Fan Page : goo.gl/kDE9eh
Facebook : goo.gl/S42XZq
Instagram : goo.gl/EkTxZT
Twitter : goo.gl/wx2I34
Pinterest : goo.gl/P1FsxN
Google+ : goo.gl/uQrGS9
Website : www.palapilii.com

 

 

 

 

Leave a Reply

*