Backpack บาหลี – คาวาอิเจี้ยน – โบรโม่ ด้วยเงิน 5,000 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

image

BACKPACK บาหลี – คาวาอิเจี้ยน – โบรโม่ ด้วยเงิน 5,000 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)

เอาล่ะ.. จะไม่เล่าห่าเหวอะไรทั้งนั้น จะริวิวแต่เนื้อๆ เลย แต่ก่อนที่จะเริ่ม ขอเกริ่นสักเรื่องสองเรื่องก่อนที่จะเข้ารีวิว คือเราเห็นเจ้าโบรโม่นี้จากเพจน้องปั้น The walking backpacker เว้ย ตอนนั้นเราคิดว่าทำไมที่นี่มันสวยจังวะ นี่มันอยู่แค่อินโดนีเซียจริงหรอ เราก็ปักหมุดไว้ตั้งแต่สองปีที่แล้วแล้วล่ะ รอแค่โอกาสที่จะมาถ่ายรูปคู่กับมัน วันนี้ก็ถึงเวลาสักที ขอบคุณน้องปั้นด้วยที่แบ่งเรื่องราวดีๆ ในตอนนั้น (ใครเป็น Fan page น้องปั้นก็ฝากเอากระทู้นี้ไปแปะขอบคุณน้องเค้าด้วยครับ ถ้าไม่มีน้องปั้น กูอาจจะไม่รู้จักที่แบบนี้เลยก็ได้)

ผมมีโจทย์สำหรับทริปๆ นี้แล้วล่ะ นั่นคือ “โบรโม่” ใช่ กูรู้แค่นี้แหละ ปกติเป็นคนไม่อ่านหนังสือ รีวิวที่ตัวเองพิมพ์เอง เขียนเองก็ไม่เคยกลับไปอ่าน อ่านรอบเดียวแล้วโพสต์เลยซะส่วนใหญ่ ใครเคยอ่านจะรู้ว่ากูพิมพ์ผิดเยอะโคตรรร ผมเป็นคนง่ายๆ ที่เชื่อว่าการไปเที่ยวแต่ละครั้ง เมิงไม่ต้องวางแผนก็ได้ และทริปๆ นี้ก็เช่นกัน เมิงรู้จักแค่โบรโม่และสถานที่ที่เมิงสนใจจะไปก็พอ ส่วนวิธีการอ่ะหรอ ด้นสดไงคะดีออกกกกก ๕๕๕

image

ผมได้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเปิดดูรูปภาพของคนที่เคยไปมาเพื่อดูว่านอกจากโบรโม่แล้วมันมีอะไรอีกบ้าง ปรากฏว่า มันมี คาวาอิเจี้ยน น้ำตกอีกสองที และมันอาจที่จะแวะไปเที่ยวบาหลีได้ หลังจากรู้ว่าจะไปที่ไหนแน่ๆ การเดินทางของเราก็เริ่มต้นสักที ผมเปิดรับสมัครลูกเพจหน้าเพจ PALAPILII Thailand เพื่อที่จะหาคนไปแชร์ค่ารถและค่าใช้จ่ายอื่นๆ กับผม เพราะเมื่อค้นหาแต่ละที่ในแผนที่แล้วต้องใช้รถเท่านั้น แล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีรถประจำทางไปถึงด้วย เปิดไปไม่กี่นาที ก็มีคนสนใจเข้ามาร่วมทริป แล้วการจองตั๋วก็เริ่… อิสัส ไหนเมิงบอกว่าจะไม่เล่าห่าเหวอะไร ไหนบอกจะริวิวแต่เนื้อๆ ไง อิบ้า!!!!

image

เอออ… กุเอาจริงละ

เข้าเรื่องๆๆ  ทริปนี้ผมจองตั๋วเครื่องบินลงบาหลี แล้วจองตั๋วเครื่องบินขากลับจากสุราบายาผ่านทาง Traveloka แล้วรวมถึงที่พักบางวันที่จำเป็นจะต้องจองล่วงหน้าไปก่อนด้วย ซึ่งเจ้าเว็บ Traveloka ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เรียงลำดับราคา เวลา ของแต่ละสายการบินเพื่อให้เราได้เปรียบเทียบกับความเหมาะสมของเงินในกระเป๋าเรา ซึ่งรูทคร่าวๆ ก็จะเป็นประมาณนี้

วันแรก

  • บินลงบาหลี
  • เที่ยวรอบบาหลีเท่าที่จะเก็บได้

วันที่สอง

  • เดินทางออกจากบาหลีไปท่าเรือ Gilimanuk เพื่อต่อเรือข้ามไปฝั่ง JAWA
  • หารถนั่งต่อไปพักที่ Catimor เพื่อรอขึ้น Kawah Ijien ตอนเช้าวันที่สาม

วันที่สาม

  • ตื่นตี 1 เพื่อเดินทางไปจุด walk starting แล้วเริ่มเดินตอนตี 2 ขึ้นไป Kawah Ijien
  • สายๆ ก็ไปน้ำตก belawan
  • หลังเที่ยงเดินทางต่อไปที่เมือง Cemoro Lawang เพื่อรอขึ้นโบรโม่

วันที่สี่

  • ตื่นตี 4 เดินทางไปจุดชมวิวโบรโม่ และเที่ยวสถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนา และทะเลทรายดำ
  • เดินทางออกจาก Cemoro Lawang ประมาณเที่ยงๆ เพื่อไปน้ำตก Madakaripura
  • เดินทางเข้าไปพักใกล้ๆ สนามบินสุราบายา

ซึ่งอย่างที่บอกว่า Traveloka เว็บเดียวจบ เพราะนอกจากจะเป็นเว็บจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ยังสามารถจองที่พักได้อีกด้วย ซึ่งการจองที่พักกับ Traveloka ก็สะดวก ง่ายและประหยัดเวลามากๆ อย่างในกรณีของไม ต้องการที่จะพักในสุราบายา ก็แค่เลือกหาที่พักในวันที่จะจอง แล้วกดดูแผนที่บริเวณใกล้ๆ ที่เราต้องการที่จะอยู่เลย พร้อมกับตัวเลือกอีกมากมายที่ตอบสนองความต้องการ อย่างราคาที่จำกัดไว้ไม่เกิน 1,200 บาทต่อคืนเป็นต้น ก็เลือกได้ตามใจชอบ ทั้งการจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก สามารถชำระได้หลากหลายวิธีมากๆ แม้แต่ใน 7-eleven ก็จ่ายได้ ยังไงลองใช้ดู

วันที่ห้า

  • ตื่นสายๆ แล้วบินกลับไทย หรือใครอยากจะเที่ยวในสุราบายาต่อก็แพลนกันเองละกัน ฮาๆ

เป็นยังบ้าง แผนของเราเวิร์คมั้ย เวิร์คไม่เวิร์คก็เก็บที่ที่อยากไปหมดล่ะว้า แถมได้ไป Hang out ย่าน Clarke Quay สิงคโปร์ก่อนบินมาถึงบาหลีด้วย ฮาๆๆ  ตอนนี้ผมว่าเพื่อนๆ พอจะเข้าใจ Concept การเดินทางของผมทริปนี้แล้วล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มเดินทางตั้งแต่วันแรกไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า มา…

image

Day 0

พวกเราต้องบินตอน 20:05 น. ครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงหยุดยาว เราจองตั๋วกันข้ามเดือนแบบโหดสัสรัสเซียจอเจียเนปาล 6 เดือนก่อนเดินทาง แต่ก็ได้ตั๋วแพงเหมือนเดิมที่เกือบ 9,000 บาท อาจะเป็นเพราะช่วงนั้นทางสายการบินรู้ว่าประเทศไทยหยุดยาว และเป็นช่วง Peak ที่จะไปเที่ยวรูทนี้ด้วย ก็เลยเพิ่มราคามาแบบน่าใจหาย แต่อย่างว่า ก็กูทำงานประจำหนิ ถ้ากูไม่ไปช่วงนี้ละจะให้กูไปช่วงไหน นี่ยังดี ลองถามคจนไทยบาง Group ที่ไปรอบเดียวกัน มีคนได้ ไป – กลับ 17,000 แหนะ ส่วนใครที่ได้ตั๋ว 3,000 – 5,000 บาท ก็ดีใจด้วย แม่งวินไปกว่าครึ่ง…

เราต้องไป Transit ที่สิงคโปร์ราวๆ 4 ชั่วโมงครับ บินจากไทยสองทุ่ม ก็ถึงสิงคโปร์เกือบเที่ยงคืนพอดี และจะต้องบินจากสิงคโปร์ไปบาหลีตอนเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน จะนอนหรอ…

ไม่!!!

กูจะออกไป Hang out ข้างนอก ไปดู Night Life ของสิงคโปร์ พวกเมิงจะไปกับกูรึป่า

เอาดิ เอาไงเอากัน…

ลูกเพจแม่งใจชิบหาย ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพิจารณาอะไรกันทั้งนั้น หาวิธีออกไปที่ย่าน Clark Quay เลย เพื่อที่จะไป Hang out ริมน้ำเป็น welcome trip ก่อนถึงบาหลี ตอนนั้นกว่าจะขนกระเป๋าออกมาเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า EZ link ก็ไม่เปิดบริการแล้ว มีอย่างเดียวบริการแบบทันใจก็คือ Taxi นี่คงจะเป็นการนั่ง Taxi ที่สิงคโปร์ครั้งแรกในชีวิต…

image

จาก Airport ไปย่าน Clark Quay ทางสะอาดและสวยมาก เห็นวิว Marina bay แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะปกติ จะนั่งรถไฟกลับสนามบิน ถือว่าเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเองเลยทีเดียว ค่าใช้จ่ายหลังกด Stop meter อยู่ที่ 16 ดอล และบวกค่าบริการตอนกลางคืนหรือ Over time ไปอีก 10 ดอล ก็จะเป็น 26 ดอล หารกัน 4 คน คนละ 6.25 ดอลเองแก ตอนนั้น 1 ดอลสิงคโปนร์น่าจะราวๆ 24 บาท คูณไป ก็ประมาณ 150 บาทไทย เพื่อแลกกับการเปิดประสบการณ์แบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ

image

Clark Quay คือสถานที่ชิลเอ้าท์ แฮ๊งค์เอ้าท์ ยามราตรีของคนที่นี่ครับ เพื่อนๆ จะได้เห็นผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาพักใจพักร่างจากการทำงานในช่วงค่ำ บรรยากาศดีที่เดียว ติดริมน้ำ และมีแสงสีที่ชวนให้หลงใหล แต่ข้อเสียคือ ราคาเบียร์ที่นี่แพงมาก แต่ก็ช่างมันปะวะ นานๆ มาที จะขี้งกทำไม…

image

หลังจากดื่มกันจนได้ที่ก็ไปต่อกันที่ บากุเต๋ ข้างหน้าทางเข้า Clark Quay เลยครับ แนะนำเลยร้านนี้ ผมจำชื่อร้านไม่ได้ แต่อยู่บริเวณเดียวกันเลย อาหารอร่อยมาก ตอนแรกกะจะทานกันเล่นๆ แต่ทำไปทำมา ติดใจและสั่งเพิ่ม…

image

ทานเสร็จไม่ทันไร มองนาฬิกาก็ยังพอมีเวลาเหลือ เลยเดินไปเรื่อยๆ เลาะแม่น้ำ ไปยัง Marina Bay Sand ไปถ่ายรูปกับ Mer Lion และภาพวิวยามราตรีในช่วงที่ไม่มีใครแบบนี้ ถือว่าเป็นอะไรที่ Perfect สุดๆ

image

ทริปนี้ผมได้กล้อง Canon 80D มาลองใช้ครับ รู้สึกทึ่งมาก เพราะภาพที่ถ่ายแม่ง ชัดและใสโคตร โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ปรับโหมดมั่วๆ ตามใจตามความคิด ความน่าจะเป็น (คือใช้กล้อง DSLR ไม่เป็น) ก็ได้ภาพที่ออกมาดูน่าสนใจอย่างที่เห็น ปกติใช้กล้องมือถือรีวิว พอได้ลองใช้ DSLR ตัวนี้ เหมือนตังค์แม่งอยากออกจากกระเป๋า อันนี้ไม่ได้ขายของนะ แต่ของแม่งดีจริงเว้ย ภาพโหมดกลางคืนที่ผมถ่ายผมใช้โหมด P ครับ ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าโหมดอะไร แต่ทให้ภาพดูสวยอลังกาลเว่อร์กว่าของจริงมาก และสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มวันแรกของทริปๆ นี้ ผมอยากจะบอกว่า ภาพทุกภาพที่ถ่ายจากกล้อง Canon EOS 80D ผมไม่ได้แต่งหรือดึงแสงอะไรเลย เอามารีวิวแบบดิบๆ นี่แหละ เถื่อนดี ๕๕๕

image

เราต้องกลับไปที่สนามบินให้ทัน Check in ตอนตี 5 ครับ กลับไปถึงก็ Check in นอนรอหน้า gate พรุ่งนี้เช้าแล้วล่ะ ทริปนี้จะได้เริ่มต้นกันสักที…

image

DAY 1

ทริปนี้เรามีกันอยู่ 6 คนครับ 2 คนบินไปรอที่บาหลีก่อน 1 วัน อีก 4 คนจะบินตามไปเจอกันอีกที พวกเรานัดกันไว้ที่สนามบินตอน 9 โมงเช้า และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้มาเจอหน้ากันจริงๆ หลังจากที่คุยกันในกรุ๊ปไลน์มากว่า 4 เดือน นี่เป็นเสน่ห์ของการเดินทางกับคนไม่รู้จักจริงๆ แต่แปลก ที่เจอกันครั้งแรก ก็เหมือนรู้จักกันมาแล้วเป็นปี…

ตอนแรกเรากะว่าบินมาถึง ก็จะหาที่พัก และก็พักชิลๆ เล่น Surf ที่ Kuta Beach แต่อยู่ดีๆ แผนก็เปลี่ยน เพราะบาหลี ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเหมือนกัน ก็เลยคิดแผนใหม่ โดยการเช่ารถหนึ่งวันได้ราคา 500.000 รูปเปียส เที่ยวรอบเมือง วางแผนกันอย่างดิบดี สรุปได้ไปสองที่ นั่นก็คือ Bajra Sandhi Monument และ Tegalalang rice terrace (นาขั้นบันได) ก็ใครมันจะไปคิดว่าอินโดนีเซีย ถนนจะเล็ก รถจะติดขนาดนี้ เห้อ….

image

Bajra Sandhi Monument หรืออนุสาวรีย์พัชระสันติ เป็นสถานที่สำรวจประวัติศาสตร์บาหลีตั้งแต่ยุคโบราณไปจนถึงการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเกาะจากชาวดัตช์และญี่ปุ่นที่อนุสาวรีย์พัชระสันติครับ ซึ่งในห้องโถงหลัก เพื่อนๆ จะเห็นหินแกะสลักและฉากจำลอง 33 ฉากที่แสดงถึงเหตุการณ์ความสำเร็จครั้งสำคัญๆ ของประเทศ (ไม่ได้ถ่ายมา ข้างในแม่งมืด) และในทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถานแห่งนี้มีรูปทรงเหมือนระฆัง “เจนทรา” หรือ “พัชระ” ที่นักบวชฮินดูใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอีกด้วย

image
นอกจากนี้ อนุสาวรีย์พัชระสันติยังรู้จักกันดีว่าเป็นอนุสาวรีย์การต่อสู้ของประชาชนบาหลี โดยสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1987 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2003 มีปรัชญาสองประการที่อยู่เบื้องหลังอนุสาวรีย์นี้ ประการแรกเกี่ยวพันกับศาสนาฮินดู เป็นการแสดงถึงโยนี สัญลักษณ์แห่งหญิงที่สื่อถึงการให้ชีวิตและการสร้าง สว่นประการที่สองนั้นจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของเทือกเขามันทรคีรีในเกษียรสมุทร บทแรกในมหาภารตะ มหากาพย์เก่าแก่ของอินเดีย ซึ่งมหากาพย์บทนี้เป็นเรื่องของเทวดาและยักษ์ที่ร่วมกันชักเขามันทรคีรีในเกษียรสมุทรเพื่อหวังว่าจะได้น้ำอมฤต (Tirta Amerta) มาครอบครอง //คืออ่านประวัติศาสตร์ไปก็ไม่อินเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นความรู้พอสมควร

image
ส่วนสัญลักษณ์อื่นๆ ของอนุสาวรีย์นั้นจะแสดงถึงการแพ้สงครามของญี่ปุ่นในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 โดยสื่อออกมาในรูปของประตูหลัก 17 ประตู เสาหินแปดต้น และความสูงของอนุสาวรีย์เท่ากับ 45 เมตร (148 ฟุต) เดินขึ้นบันไดไปบนยอดหอคอยสู่ห้องที่มีจุดชมวิวแบบ 360 องศา (ภาพข้างบนถ่ายจากจุดชมวิว) ชมนิทรรศการที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนเรื่อยๆ โดยมักจะเป็นการแสดงภาพถ่ายและภาพวาดในห้องจัดแสดง

เอาล่ะ..เมื่อชมความงามของสถาปัตยกรรมประวัติศาสตร์กันเสร็จแล้ว เราโยกไปดูความงามของธรรมชาติและความเป็นอยู่ของชาว Denpasar กันดีกว่า ผมกำลังจะพาเพื่อนๆ ไปดูหมู่บ้านมรดกโลกที่ปลูกข้าวแบบนาขั้นบันไดกันครับ…

image

หมู่บ้าน Tegallalang นั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำระหว่างช่องเขาของกลุ่มเนินเขาทางด้านเหนือของ Ubud มีชื่อเสียงในด้านการทำนาข้าวแบบขั้นบันได เทือกเขาที่เป็นขั้นบันไดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ที่มีผู้นิยมมาถ่ายภาพมากที่สุดในบาหลี //ก็แหงล่ะ ทั้งไทย ทั้งเทศ ทั้งแอฟริกาและจาแปนแม่งเต็มถนนเลย สูดอากาศที่สดชื่น จ้องมองผ่านสายหมอกในขณะที่จับตัวเหนือยอดเขา หรือผ่อนคลายภายใต้เงาของต้นมะพร้าวพร้อมกับชื่นชมบรรยากาศในแบบชนบทๆ หน่อย

image
นาข้าวขั้นบันไดเหล่านี้มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ชาวนาใช้เครื่องมือแบบโบราณเพื่อสลักเสลาเป็นที่ราบขั้นบันไดเหล่านี้บนภูเขา ขั้นบันไดเหล่านี้มีกำแพงกั้นรองรับและเป็นระบบที่ได้รับการออกแบบให้ควบคุมน้ำในขณะที่ไหลลงมาตามภูเขา ข้าวเป็นพืชที่สำคัญของบาหลี เป็นสินค้าอาหารสำคัญและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในพิธีกรรมทางศาสนา การจัดการและการปลูกพืชมีการบริหารจัดการโดยหน่วยงานกลางของหมู่บ้านและผูกพันเชื่อมโยงกับปฏิทินทางศาสนาและฤดูกาลของประเทศเลยล่ะครับ

image
จริงๆ แล้ว ที่บาหลี มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะมากครับ แต่เรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ครึ่งวันเท่านั้น เลยทำให้เก็บได้เท่านี้ แต่ไม่เป็นไร ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ที่มีเวลา ว่ามาที่บาหลี มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง และที่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็จะมี

  1. Kintamani Village
  2. Besakih Temple
  3. Uluwatu Temple
  4. Tanah Lot Temple
  5. Kuta Beach
  6. Tirra Empul
  7. Ulun Danu Blatan Temple
  8. Tegallalang Rice Terrace
  9. Badugul
  10. Gunung Batukaru

ยังไงเพื่อนๆ ก็ลอง list ไว้ดูแล้วกันนะครับ เผื่อมีโอกาสมาแล้วเวลาพอ จะได้เก็บสถานที่พวกนี้ให้หมดแทนผมหน่อย

ช่วงเย็นๆ ของวันแรก เราเดินไปหาร้านทานข้าวที่ Kuta beach กันครับ กะจะไปชิลๆ แต่ดันไปเจอร้าน Buffet สะก่อน อาหาร Buffet ที่บาหลี จะอยู่ที่ราคาราวๆ 100.000 รูปเปียสครับ ไม่จำกัดชั่วโมง กินได้เรื่อยๆ จนกว่าพุงจะแตก แต่ก็เท่านั้นครับ ทานไปแป็บเดียวก็อิ่มแล้ว

เราทานเสร็จ ก็เดินซื้อของบริเวณ Kuta Beach ครับ ของที่นี่ถูกตั้งราคามาให้ลดมากกว่าครึ่งครับ เช่น เสื้อบอกราคา 100.000 เมิงต่อไปเลยสัก 40.000 ครับ ยื้อๆ ไว้ ถ้าได้ก็ win แต่ถ้าไม่ได้ก็ลดขั้นมาที่ 50.000 กุ confirm ว่าได้แน่นอน ๕๕๕ นี่ตอนแรกกะจะไม่ซ้ออะไร พอต่อแล้วลด รู้สึกสนุก ซื้อเอาๆ ๕๕๕

และที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่ครับ นั่นก็คือ “น ว ด” ที่บาหลี มีร้านนวดเยอะมาก และที่สำคัญ ถูกโคตรรรร ถ้า Body massage ราคาจะอยู่ที่ 60.000 – 80.000 รูเปียสครับ ละคือเค้านวดดีมากกกก ฟินเว้อ ก็นวดกันไปทุกคนคนละ 1 ชั่วโมง ก่อนกลับบ้านไปนอนครับ

หมายเหตุ : 1000 รูเปียส เท่ากับ 2.7 บาท

image

DAY 2

จากที่กล่าวมาทั้งหมดใน list 10 ข้อ ผมอยากไป Uluwatu Temple ก่อนออกมาจากบาหลีครับ เมื่อคืนก็เลยคุยกันไว้ว่าจะตื่นตั้งแต่เช้า เผื่อเช่ามอเตอร์ไซต์ขับรถไปที่ Uluwatu อย่างน้อย ก็ขอไปเก็บภาพมานิดหน่อยก็ยังดี (ตอนนั้น คิดว่า Uluwatu คือ Tanah Lot) ก็เช่ามอเตอร์ไซต์ขับตากฝนกันไป แบก Drone ไปด้วย กะจะเอาไปปล่อยเก็บภาพมุมสูง เค้าบอกว่า ไม่อนุญาตให้เอาเข้าไปถ่าย ถ้าเอาเข้าไปถ่ายต้องจ่าง 2,000.000 รูเปียส โอ้วแม่เจ้า งั้นกูฝากไว้กับเมิงก่อนละกันนะครับพี่พนักงาน พอเข้าไปถึงแม่ง Fail นิดหน่อย ก็คือตอนแรกดูในรูปคิดว่ามันคือ Tanah Lot ที่ไหนได้ แม่งคนละที่ ๕๕๕ แต่มันก็มีความสวยงามของมันครับ เหมาะที่สุดคือมาดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ คงฟินน่าดู

image

วัด Uluwatu อันเงียบสงบแห่งนี้ ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่งดงาม ด้วยการสลักเสลาจากหินปะการังสีดำ วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดของหน้าผาสูง 250 ฟุต (76 เมตร) ที่มองออกไปเห็นทะเลชวา (Java Sea) ย้อนหลังกลับไปถึงศตวรรษที่ 10 วัด Uluwatu เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในบาหลี ที่นี่เป็นหนึ่งใน kayangan jagat ของบาหลีหรือ “วัดที่มีอิทธิพลในการเป็นแนวทาง” ซึ่งตามศาสนาฮินดูหมายความว่าวัดทำหน้าที่ในการปกป้องบาหลีให้พ้นจากวิญญาณชั่วร้าย

image
นอกจากนั้น วัดนี้มีความสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะ กล่าวคือ: Dhang Hyang Dwijendra นักแสวงบุญผู้ก่อตั้งรูปแบบของฮินดู-ธรรมะในปัจจุบันเมื่อศตวรรษที่ 15 ได้มาใช้ชีวิตในบั้นปลายที่นี่ เชื่อกันว่าเขาได้บรรลุ “โมกษะ” หรือการรวมเป็นหนึ่งกับพระผู้เป็นเจ้าในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ที่วัดแห่งนี้

image

และเนื่องจากวัด Uluwatu ตั้้งอยู่ที่ปลายด้านทิศใต้ของเกาะบาหลี จึงสามารถชื่นชมวิวอันน่าหลงใหลของหัวแหลมหยักขุรขระที่ด้านใดด้านหนึ่งของหน้าผา และดูดวงอาทิตย์ตกเหนือผืนมหาสมุทร และ Highlight ของที่นี่คือในตอนค่ำ ผมแนะนำให้เพื่อนๆรับประทานอาหารที่ warung (ร้านอาหาร) พร้อมชมดวงจันทร์ที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นมหาสมุทร รับรองว่าฟินโคตรๆ แต่ผมแม่งมาไม่ทัน //สัสเอ้ยย!!!

image

พูดถึงอาหาร อยู่ที่นี่ ผมสั่งทานแต่ Bakso เพราะเป็นอะไรที่ดูท้องถิ่น และมีให้เห็นแทบจะทุกที่ที่เดินผ่าน ที่สำคัญ ทานง่าย และอร่อยอีกด้วย ราคาราวๆ 10.000 รูเปียส หรือ 27 บาทเท่านั้นเอง

ขากลับขับรถตากฝนเพื่อทำเวลามาขึ้นรถครับ ผมนัดคนขับรถคนเดิมไว้ตอน 10 โมงเช้า เพื่อออกจากบริเวณที่พัก ไปที่ท่าเรือ Gilimanuk จากนั้นจะข้ามไปฝั่ง Jawa อีกทีหนึ่ง

image

เอออ… ลืมเลย ที่พัก คืนแรก เราพักกันที่ CX Hostel ครับ เป็นเตียงสองชั้น ราคาคนละ  รูเปียส ก็ถือว่าราคาโอเค ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป แต่มีน้องที่เคยไปมาบอกว่าให้หาโรงแรมที่นี่เลย เพราะราคาไม่ต่างจาก Hostel มาก แถมยังมีบริการที่ดีกว่าอีกด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะ จ่ายตังค์ไปแล้ว

image

จากบริเวณ Kuta Beach (ที่พัก) ไปยัง Gilimanuk ใช้เวลาราวๆ 6 ชั่วโมงครับ ทั้งๆ ที่มีระยะทางเพียงร้อยกว่ากิโลเมตร ก็เพราะว่าถนนที่นี่ มีเลนส์เดียว และจะต้องขับผ่านเมืองและหมู่บ้านตลอด เลยทำให้ไม่สามารถเพิ่มระดับความเร็วไปมากกว่านี้ ที่สังเกตจากคนขับ แม่งไม่เคยเกิน 80 เลย ถ้าถึงร้อยนิคือโคตรดีใจ ตะหว่างทาง ส่วนใหญ่ จะเป็นนาข้าวบันไดครับ สวยงามมาก ผมแวะลงไปถ่ายภาพเก็บไว้อยู่ ส่วนฝั่งซ้าย จะเป็นทะเล ที่มีทรายเป็นสีดำ ตลอดทั้งแถบเลย อันนี้ไม่มีโอกาสได้ลงไปดู รู้สึกเสียดายมาก และคิดว่า บาหลี ยังไงก็ต้องกลับมาซ่อมแน่ๆ

image

ตัดมาที่ Gilimanuk Pier ครับ ค่าเรือจากฝั่งบาหลี ไปจาวา ราคาคนละ 6.000 รูเปียสครับ ถูกมาก ใช้เวลาราวๆ 45 นาทีไปถึงฝั่งนู้น เรือก็จะเหมือนเรือ Ferry ข้ามไปเกาะช้างบ้านเราครับ ภายในเรือ มีคาราโอเกะและอาหารให้สั่งทานกันครับ

image

45 นาทีผ่านไป ก็มาถึงฝั่ง JAWA ครับ หลังจากที่เราเดินลงมาจากเรือ ก็จะมีผู้คน Agency หรือ Guide มุ่งหน้าเค้ามาคุยกับเราเป็นขโยง เหมืนประเทศอื่นทั่วๆ ไป เราพอหาข้อมูลตอนอยู่บาหลีอยู่บ้าง ว่าจะต้องไปยังไง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนอย่างที่เราคิดและวางแผนไว้ด้วยรึป่าว โดยเฉพาะ ราคาที่ควรจะเป็น ก็ฟังหูไว้หู และก็เดินตามพวกเค้าไปที่ Agency Office

image

ที่ต่อไปที่เราจะไปคือ Kawah Ijen ครับ เค้าเสนอ ราคาให้พวกเราหัวละ 650.000 รูปเปียส รวมทุกอย่าง ผมคิดดูแล้วว่าแพงโคตรๆ เลย ปฏิเสธไป เพราะคิดว่า ที่ตีน Kawah Ijen มันก็จะต้องมีทัวร์ หรือข้อมูลอะไรที่ไม่หลอกฟันราคามากขนาดนี้ ตอนนี้ขอแค่รถหนึ่งคันเพื่อไปบริเวณหมู่บ้าน  Jalan setpak หรือ Catimor ที่ใครหลายคนเคยรีวิวไว้

เออลืมบอกไป จากที่พักมาส่งที่ท่าเรือบาหลี เราได้ราคา 650.000 นะครับ ถือว่ายังไม่มีประสบการณ์ แต่หลังจากที่จ่ายค่าเรือหลัก