หิ ม ะ สุ ด ท้ า ย ที่ ฮ อ ก ไ ก โ ด | The Last Winter At Hokkaido

หิ ม ะ สุ ด ท้ า ย ที่ ฮ อ ก ไ ก โ ด

The Last Winter At Hokkaido

สวัสดีเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคนครับ ต้องบอกว่าญี่ปุ่นเนี่ย เป็นอีกประเทศที่มาเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเบื่อเลย หลายคนอาจจะเคยไปโอซาก้า ไปนาโกย้า ไปฟุกุโอกะหรือโตเกียว แต่เชื่อมั้ยว่า น้อยคนนัก ที่จะมีโอกาสได้ไปฮอกไกโด แม้แต่ตัวผมเองยังหาโอกาสที่จะไปยากมากๆ แต่วันนี้ โอกาสของผมมาถึงแล้วล่ะ แถมเป็น Period สุดท้ายของ Winter Season ของที่นี่ด้วย ก็เรียกได้ว่าไปต้นเดือนเมษา ช่วงที่หิมะกำลังจะล่ำลาจากไปเลยล่ะสิ

สำหรับทริปนี้ ภาพทุกใบถ่ายทอดโดย Sony A6300 นะครับ เป็นกล้อง Mirorless ตัวใหม่ของ Sony ทริปนี้เลยพกมาเก็บภาพด้วย เพราะว่าตัวกล้องมันเล็ก แคบ และน้ำหนักเบาครับ ใครที่กำลังเล็งกล้องตัวใหม่อยู่ก็ลองดูรูปผมในกระทู้นี้ไปเรื่อยๆ ครับ ถ่ายจาก Sony A6300 ทั้งหมด แล้วคือปกติก็ใช้กล้องแนวๆ นี้ไม่เก่งสะด้วยสิ แต่เดี๋ยวมาดูกันว่ามันจะเป็นยังไง และที่สำคัญที่สุดคือภาพทุกใบเอาออกมาจากหลังเลนส์ไม่มีการตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น

และทริปนี้ผมมีโอกาสได้ร่วมเดินทางกับผู้ใหญ่หลายท่านครับ ซึ่งเป็น 10 Top Spenders จาก Emquartier และ Emporium โดยตลอดทริปนี้ เราใช้เวลา 5 วัน 3 คืนครับ ทำการจองทริปกับ J-Plan Holiday และมีที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างพี่บุ๋มจาก All About Furano ครับ เรียกได้ว่าเป็นที่ปรึกษาตลอดทั้งทริปเลย เพื่อนๆ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเมือง Niseko และเมือง Furano จากพี่บุ๋มได้ที่เมลล์นี้ครับ [email protected]

เอาล่ะ ผมขอตัดบทเข้ารีวิวกันเลยดีกว่า ซึ่งในช่วงที่อยู่ในสนามบิน ผมคงไม่ต้องรีวิวอะไรมาก จะตัดมาที่ Sapporo เลยแล้วกันนะ ฮาๆ และขอบอกไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า กระทู้นี้ ไม่ใช้ How to แต่จะเป็นการเล่าบอกเรื่องราว และเป็น Guide line ให้เพื่อนๆ ได้ Copy and paste ในบางจุดที่เพื่อนๆ สนใจเอาไปใช้ในทริปอนาคตของเพื่อนๆ ถ้าพร้อมแล้ว ลุย!

หกชั่วโมงสบายๆ บนเครื่องบินลำใหญ่ของการบินไทย ก็พาพวกเรามาถึงสนามบินนิวชิโตเซะ (New Chitose) ฮอกไกโดครับ หลังจากนั้นพี่บุ๋มก็พาเราไปยังจุดรวมพล และพาเราไปที่รถ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ เราใช้บริการของบริษัท J-Plan Holiday สำหรับการจัดการบางส่วนของทริป

เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากสนามบิน ก็มาถึงจุดพักรถครับ ตอนนั้นหิมะตกหนักมาก บางคนก็เดินลงไปซื้อของฝาก เข้าห้องน้ำกัน ส่วนผมก็คงจะหนีไม่พ้น การถ่ายรูปคูลๆ เอามาอวดเพื่อนๆ แน่นอน

เรามีแผนจะไปกันที่ร้านอาหารชื่อดังที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นแนะนำมาครับ ไม่ไกลจากนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงร้านที่ว่า ซึ่งร้านนี้จะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งคือ ไม่สามารถสั่งเมนูอาหารได้ คือทำได้เพียงแค่จองที่นั่งเท่านั้น แล้วก็จะมีราคาบอกไปว่ามื้อนั้นราคาเท่าไหร่ ซึ่งทางเชฟเนี่ย เค้าจะไปเลือกวัตถุดิบดีๆ และคัดสรรค์มาแบบรายวันว่าวันนี้มีอะไรทำให้เราทานบ้าง จากนั้นเค้าจะเอามาแจ้งเรา ว่ามื้อนี้เราจะได้ทานอะไร คือเรียกได้ว่า พิถีพิถันเอามาก ร้านนี้ชื่อร้าน Nihon Ryori Sato ครับ อยู่ในเมือง Niseko เลย อยากให้ทุกคนได้มาทานกันนะครับ สำหรับมื้อนี้ เฉลี่ยหัวละ 8,000 เยน ชิลๆ ครับ

เสร็จจากทานอาหารเที่ยง เราจะไป Milk Kobo กันครับ แต่ระหว่างทางดันเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน อย่างว่าครับ หิมะตก ถนนลื่น ใครที่เช่ารถขับในญี่ปุ่นก็ต้องระวังด้วยนะครับ เราเลยเปลี่ยนแพลนกันกลับเข้าที่พัก และเดี๋ยวค่อยเก็บ Milk Kobo วันหลัง ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้เข้าไปเก็บของและนอนพักสักงีบ ฮาๆ

เที่ยวนี้เรามาพักที่ Ki Niseko ครับ ซึ่งอยู่ในโซนที่เรียกว่า Grand Hirafu ครับ เป็นจุดที่โรงแรมของเราตั้งอยู่และเป็นย่านที่ใหญ่และคึกคักที่สุด มีร้านค้าให้ชอปปิ้ง ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและบาร์กว่า 100 ร้าน ซึ่งรับรองได้ว่ามาเล่นสกีและพักที่ Ki Niseko แล้วเนี่ยจะต้องติดใจแน่นอน กลางวันเล่นสกี กลางคืนไปทานอาหารและบาร์ชิวๆ แบบไม่มีเบื่อ และเดินทางง่ายสุดๆ เพราะทางโรงแรมเรามี shuttle วิ่งให้บริการจนถึง 11 pm

ขอแทรกเกี่ยวกับเรื่องของ Lift pass นิดหน่อยครับ คือบริเวณนี้เนี่ย เรียกว่าป็นพื้นทีที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในนิเซโกะ มีลานให้เล่นหลากหลาย level ทั้งแบบ beginner ไปจนถึง advanced โดยปกติเค้าจะมี lift pass 2 แบบขาย คือ Grand Hirafu pass อันนี้สามารถเล่นได้ที่ Hirafu และ Hanazono ซึ่งกินพื้่นที่ 60% ของทั้ง resort และอีกแบบหนึ่งคือ All Mountain pass เล่นได้ทั้ง 4 resort ครับ ได้แก่ Hirafu, Hanazono, Annupuri และ Niseko village ยังไงผมว่า หากใครมาเพิ่งมาเล่นกิจกรรมกลางแจ้ง สิ่งนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจครับ

เมื่อมาถึงที่พัก ก็ต้องบอกว่า Reception ดีงามมาก คือทุกคนยิ้มต้อนรับเราอย่างเต็มใจ คือไม่รู้สึกว่าเค้าพยายามบริการ แต่รู้สึกว่าเค้าอยากบริการ คอยเข้ามาถามว่าต้องการอะไรนู้นนี่บลาๆ คือรู้สึกดีมาก และคือบรรยากาศภายในที่พักขอบอกว่าคูลมากๆ เป็นสไตล์ Japan แบบ minimalist Modern (คือคิดชื่อเอง) คือมันดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะเอาห้องมาโชว์ให้ดู แต่ตอนนี้ ขอเอาของขึ้นไปเก็บ แล้วรีบไป Fitting เสื้อผ้าก่อน

หลังจากที่เอาของไปเก็บเรียบร้อย เราก็กลับเข้ามาที่รถครับ นั่งไปเพียง 3 นาที ก็จะถึง Rhythm ซึ่งร้านเช่าอุปกรณ์ Rhythm เนี่ย เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในนิเซโกะ มีอุปกรณ์สกี/สโนว์บอร์ด เสื้อผ้า – jacket, pants ที่มีคุณภาพ และอยู่ในสภาพที่ดีมากๆ คือเท่าที่สัมผัสคือดีกว่าครั้งนั้นที่ไปเล่นที่ New Zealand ฮาๆ แล้วคือมีให้เลือกหลายหลายมาก เหมาะกับ Beginner ไปจนถึงระดับ Advanced เลย แล้วคือใครที่เป็นแขกของ Ki Niseko จะได้รับส่วนลดในการเช่าอยู่ที่ 5% ไปเลยจ้าาาา

ข้อมูลเพิ่มเติม: http://www.rhythmjapan.com/rhythm-niseko/rhythm-niseko/
ราคา: https://www.kiniseko.com/uploads/documents/Rhythm-Price-2016-17.pdf (จากราคาที่โชว์ในเว็บนี้ ลดลงไปอีก 5%)

กว่าจะเลือกชุดทำนู้นนี่นั้นก็เย็นพอดี ได้เวลา Dinner ของเราในค่ำคืนนี้ครับ ห่างจาก Rhythm ไม่ไกลนัก จะมีร้านอาหารมิเชอลินสตาร์ (ร้านอาหารที่มีดาวของ Michelin แปลว่า มาแล้วต้องทาน) ให้เราได้ลองสัมผัสกันครับ ชื่อร้าน Kamimura เป็นร้าอาหารฝรั่งเศส สำหรับร้านนี้ หนึ่งดาวครึ่งครับ : )

ภายในร้านบรรยากาศไฮมาก คือน่าจะแพงในระดับหนึ่ง แต่เรามาดูหน้าตาของอาหารมื้อนี้เราเถอะ คิดว่าแพงก็คงต้องยอม เราเลือกเป็น Set ไว้ครับ ซึ่งรายการอาหารก็จะมีตามในใบที่เค้าแจ้ง ราคาอยู่ที่ราวๆ คนละ 9,500 เยน ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป เรียกได้ว่าอิ่มหนำสำราญกันเลยทีเดียวสำหรับมื้อเย็นวันนี้

เมื่อคืนผมกลับไปแบบไร้เรี่ยวแรงครับ คือเดินทางมาทั้งคืนไม่ได้หยุดเลย กลับห้องไปสลบแบบไม่รู้ตัว ฮาๆ ตื่นมาอีกทีตีสามลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนต่อ เอาล่ะ ราตรีสวัสสำหรับคืนนี้

ผมตื่นด้วยแสงที่ลอดเข้ามาจากช่องหน้าต่างที่เป็นบานเกร็ด มองออกไปที่วิวนอกห้องอีกครั้ง โหหห… ให้ตายเถอะ วันนี้ฟ้าเปิด มันจะต้องเป็นอะไรที่ดีแน่นอน ไม่รอช้าที่จะรีบลุกออกจากเตียงแล้วไปดูวิวเบื้องล่างแบบตาใส เหมือนไม่ใช่คนพึ่งตื่น แล้วเอาเจ้า Sony A6300 ถ่าย Timelape ไว้ซะเลย นี่คงเป็นอาการตื่นเต้นของพวกที่บ้านไม่หิมะละมั้ง ฮาๆๆ

วิวสวยใช้ได้เลย แต่เอาล่ะ ผมติดไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ว่าจะพามาดูห้องของ Ki Niseko เสียหน่อย ซึ่ง Ki Niseko หรือบริเวณลานสกีที่เราอยู่เนี่ย เค้าเรียกว่าย่าน  Grand Hirafu ครับและห้องที่ผมนอนเป็นห้อง 1 Bedroom ครับ วิวภูเขา ผมนอนชั้น 6 ห้อง 603 วิวเลยดีมากๆ ภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอยเยอะครับ ราคาจะอยู่ที่ 45000 เยน (แต่ช่วงนี้มีโปร 50% เลยลดเหลือ 22500 เยน) พร้อมอาหารเช้าสดใหม่ ไม่มีอาหารแช่แข็งกับทางห้องอาหาร An Dining แต่ไม่เหมาะสำหรับนอนคนเดียวอย่างผมเลย เพราะเหงามาก ฮาๆๆ

แต่ถ้าใครมีงบน้อยกว่านั้น และไม่ได้แพลนว่าจะทำอาหารหรืออะไร แนะนำเป็นห้อง Hotel Room ครับ มันคือห้อง standard ของทางโรงแรม ไม่มีครัว พื้นที่จะกระทัดรัดลงมา แต่ความสบายยังอยู่ ห้องนี้ราคาอยู่ที่ 36,000 เยน เป็นราคาห้องเริ่มต้นของโรงแรม และแน่นอนเช่นเดียวกัน ตอนนี้เดือนเมษามีโปรลดครึ่งราคา เลยลดเหลือ 18,000 เยนเท่านั้น ยังไงเพื่อนๆ ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากทางเว็บไซต์ของโรงแรมเลยครับ www.kiniseko.com

ในห้องก็จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายครับ ไม่ว่าจะเป็น เตาไมโครเวฟ เตาไฟฟ้าสำหรับทำอาหาร ถ้วย แก้ว ช้อน ชาม เครื่องซักผ้า ไดเปาผม บลาๆ คือเรียกได้ว่ามีหมดทุกอย่างเหมือนนอนอยู่บ้านครับ ถ้าขาดเหลืออะไรก็สามารถโทรเรียกพนักงานให้เอามาเสริมเพิ่มเติมกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

นอกจากนี้ทางโรงแรมก็จะมีรถชัทเทิลวิ่งรอบ Hirafu ไปหยุดตรงหน้า Hirafu 188 ซึ่งเป็นตึกที่มีร้านขายยา มีหลายร้านให้ชอปปิ้งอาหาร เครื่องสำอางให้หายอยาก และใกล้ ก็มีร้านขายของฝากและร้านอาหาร รวมไปถึงร้าน Rhythm ร้านเช่าสกีที่ใหญ่ที่สุด และวนไปแวะที่ Seico mart และ Lawson ก่อนวนกลับมาที่โรงแรม ซึ่งจะวิ่งทุกวัน ทุกๆ 30 นาที และยังมีทีม concierge บริการตลอด 24 ชั่วโมงที่จะช่วยเพื่อนๆ จองรถ ร้านอาหาร คลาสเรียนสกี อุปกรณ์สกี lift pass และการบริการอื่นๆโดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติมครับ

ภายในโรงแรมก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายครับ ไม่ว่าจะเป็น นวด และสปาคาเฟ่ ร้านอาหาร บ่อออนเซน ซึ่งออนเซ็นก็จะมีทั้งแบบส่วนตัวและแบบรวม สามารถใช้บริการได้ตลอดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สามารถใช้ได้ตลอดคืนตั้งแต่ 2pm – 10am ของอีกวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นสำหรับท่านใดที่อาย ไม่คุ้นชินกับการแก้ผ้าอาบน้ำกับคนอื่นก็แนะนำเป็นแบบส่วนตัว สามารถจองได้เลยกับทาง Front desk ของเค้าตอนเช็คอินได้เลย ฮาๆ

สำหรับเช้าวันที่สองของทริป เราเริ่มต้นด้วยการเติมพลังด้วยอาหารเช้าครับ ที่ Ki niseko คืออาหารดีมาก ดูมีคุณภาพมากกกกก ที่ชอบสุดคือมีแซลมอนรมควันให้ทานตอนเช้าด้วย ที่สำคัญ รสชาติทำให้ไม่เบื่ออาหารเช้าเลย

และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะไปเล่นกิจกรรมกลางแจ้งกันแล้วครับ ก็จะมีให้เลือกเป็น สกีกับสโนบอร์ด สำหรับผมวันนี้ขอเป็นสโนบอร์ดแล้วกัน แต่คือถ้าจะจองคลาสเรียน ทางโรงแรมก็จองให้ได้ครับ โดยโรงเรียนที่เพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เคยมา เค้าก็แนะนำเป็น GoSnow

แต่ก่อนที่เราจะไปเล่นกิฬากลางแจ้งในช่วงฤดูหนาวเนี่ย สิ่งสำคัญที่สุดคือแว่นกันแดด ครีมกันแดด และเครื่องกันหนาวครับ มันดู Contrast กันมากๆ แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า อากาศหนาวๆ ข้างนอกเนี่ย ทำให้ผิวเราพังเอาง่ายๆ เลย แต่ประเด็นนั้นคิดว่าเพื่อนๆ คงดูแลตัวเองได้ ส่วนไมก็จะขอแนะนำเสื้อกันหนาวที่มันดูไม่เทอะทะแต่สะดวกสบายในการใส่เล่นกิจกรรมกลางแจ้งครับ ที่สำคัญดูไม่หนา แต่กันความหนาวได้แบบดีงามเว่อร์ ตัวนี้คือเสื้อจาก Superdry รุ่นอะไรไม่รู้ แต่ไมว่ามันดีมาก มันมีกระเป๋าหลายช่องให้เราได้ใส่ของ มีที่ใส่โทรศัพท์ และรูปคล้องหูฟัง มีซิบสองชั้นเอาไว้รัดหากต้องการความอุ่นที่มากกว่าเดิม มีฮู้ดไว้ให้ใส่เก๋ๆ แล้วคือบริเวณมือจะมีรูเสียบกับนิ้วโป้งครับ ทำให้เวลาเราเคลื่อนไหวเนี่ย ตัวเสื้อจะไม่เคลื่อนที่ตามแรงหน่วงหรือแรงเฉื่อย มันยังคงรักษาระยะอยู่ที่เดิม บวกกับลายและการออกแบบที่เหมาะสำหรับวัยรุ่นอย่างเราแล้ว ไมโคตรชอบบบบ จริงๆ จะเอาสีชมพู แต่มันดูแรดไป ๕๕๕

ซึ่งช่วงสองวันที่ผ่านมาผมสังเกตว่า ที่นี่เป็นญี่ปุ่นจริง แต่เมืองทั้งเมืองมีญี่ปุ่นน้อยมากครับ ส่วนใหญ่เป็นออสเตรเลี่ยน คือเค้าจะมาทำงานในฤดูหนาวของที่นี้ยาวๆ ราวๆ 3-6 เดือนแล้วแต่หน้าที่ของแต่ละคนครับ อย่างครูที่สอนเราก็เป็นครูจากออสเตรเลี่ยนนี่แหละ สอนสนุก สอนดี ให้กำลังเก่ง ที่สำคัญ หล่อ สาวๆ ต้องติดใจแน่นอน ฮาๆๆ และคือที่นี่เป็นโรงแรม ski-in ski-out ที่ติดกับ gondola, chair lift และโรงเรียนสอนสกี แบบใครไม่เล่นสกี หรือเล่นไม่เป็นก็สามารถขึ้น gondola ไปชมวิวมุมสูง มองเห็นภูเขาโยเท ถ่ายรูปลง Facebook เก๋ๆ ได้แบบชิลๆ เอาล่ะ ไปรื้อ ไปฟื้น ทำให้หัวใจมันดาดดื่นกันเถอะ

คือช่วงแรกก็จะไปรื้อฟื้นความจำกันหน่อยครับ เข้าไปร่วม Group lesson กับพวกน้องๆ ก็เรียก Skill กลับคืนมาพอตัว สำหรับ Group lesson ที่นี่แบบ Full Day ราคาอยู่ที่ 13,000 เยน นะครับ ก็สอนประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วก็ปล่อยให้เราฝึก Skill กันต่อเอง ซึ่งถ้าสำหรับคนที่ยังไม่เคยเล่นเลย ก็ควรจะเรียนสัก 3 วันครับ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปสอบถามรายละเอียด หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gondolasnowsports.com และที่สำคัญเช่นเคย ถ้าพัก Ki Niseko จะได้รับส่วนลด 5% ครับผม

แต่เอาล่ะ เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยครับ ผมขอปลีกตัวออกมาจากพี่ๆ มาเล่นคนเดียวเลย เพราะรู้สึกว่าพร้อมแล้ว และจะบอกว่าที่นี่วิวสวยมากกกกกกก เพื่อนๆ จะได้เห็นวิวภูเขาไฟโยเตแบบชัดมากกกก คือทุกอย่างมันเพอร์เฟ็คไปหมด ทั้งอากาศ ผู้คน และสิ่งรอบข้าง นี่ยังคิดในใจตอนเขียนอยู่เลยว่า ไม่ให้กลับมาที่นี่ได้ไง ฮาๆ เอาล่ะ Go Snow!!!

ด้วยความที่ Sony A6300 มันบางกว่า DSLR เลยแบกขึ้นไปถ่ายด้านบนด้วย ฮาๆ เอาล่ะ ขอตัดบทมาพูดถึงสเป็คของกล้อง Sony A6300 กันหน่อย จากข้อมูลที่ผมศึกษามา คือ…

  • มันกันน้ำกันฝุ่นพอสมควร เลยกล้าที่จะเอาขึ้นมาลุยกับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมแบบนี้
  • คือแม้ว่าจะใช้แค่โหมด Auto รูปก็ออกมาสวย คือภาพที่เพื่อนๆ เห็นในกระทู้นี้เราใช้โหมด Auto ทั้งหมดเลย ด้วยความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่ 1/4000 วินาที เลยทำให้ไม่พลาดทุกโมเม้นท์ที่ต้องการ
  • Focus เร็ว เวลาเจออะไรดีๆ มุมสวยๆ หรือคนกำลังเล่น Snowboard ก็สามาถรถ่ายได้เดียวนั้นแบบไม่เบลอ เช่น การถ่ายภาพต่อเนื่อง 11 ภาพต่อวินาที ที่เจ้า Sony A6300 ก็ทำได้อย่างดีเลยทีเดียว
  • ถ้าเจอที่แสงน้อยๆ เนี่ย ภาพก็จะออกมาไม่ work เท่าไหร่ อาจจะต้องเข้า manual ปรับแสงปรับโฟกัสสปีดชัตเตอร์หรือ ISO ต่างๆ แต่ตัวนี้ แค่ Auto mode ก็จบครับ เพราะสามารถปรับค่า ISO ได้ตั้งแต่ 100–51,200 เลยทีเดียวล่ะ
  • นอกจากที่ผมสังเกตุมาจากข้อมูลด้านบนที่สรุปมาคร่าวๆ เนี่ย เจ้า Sony A6300 ยังสามารถถ่ายวีดีโอ 4K ได้อีกด้วย (ที่30เฟรมต่อวินาที 100Mbps) และความดีงามคือความดีงามคือถ่าย Full HD ได้ที่ 120 เฟรมต่อวินาที บ้าไปแล้ว คือทำให้คนไม่ใช่มืออาชีพ เป็นมืออาชีพได้ง่ายๆ เลย

กลับมาที่ทริป Snowboard ของเราต่อครับ ก็เล่นกันจนเหนื่อยก็มาเติมพลังกันที่ An Dining ของทางโรงแรมครับ มื้อนี้รีบทานรีบไปเล่นต่อ ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อวากิวตัวใหม่ของทาง An Dining ถ้าจำไม่ผิดราคา 3,800 เยนครับ แล้วก็สั่งเบียร์โลคอลของที่นี่ทานจิบไปพราวๆ เรียกได้ว่าหน้าร้อน แบบพร้อมที่จะออกไปลุยช่วงบ่ายเลยล่ะ

ช่วงบ่ายก็เล่นกันจนหน้าแตก ผิวพังหมดครับ ผมถ่ายคลิปมาให้ดูด้วย ถ้าไม่เสียเวลาจนเกินไป ลองเข้าไปดูคลิปที่ผมเล่นครับ เพื่อนๆ จะได้เห็นบรรยากาศจริงๆ ด้วย ว่ามันสวยขนาดไหน

Clip: https://goo.gl/Y8UB1P

เหนื่อยมากๆ สำหรับ และก็ตูดช้ำหล้าแขนมากๆ ล้มบ่อยเกิ้นนนน ฮาๆๆ ก็เอาของที่เช่ามาคืนบริเวณด้านล่างโรงแรมเลยครับ แล้วก็เอาของบางส่วนไปเก็บที่ห้อง ก่อนที่จะลงมา Dinner กันที่ An Dining

ซึ่งความพิเศษของร้านอาหาร An Dining คือเชฟที่นี่เค้าการันตีด้วยรางวัลร้านอาหารเอเชียยอดเยี่ยมในออสเตรเลียครับ เฮียแกจะปรุงแต่งอาหารทุกอย่างด้วยวัตถุดิบสดจากฮอกไกโด และคือบางทีลุยออกเรือไปจับเองเลยก็มี เรียกได้ว่าสดวันต่อวัน ที่นี่เปิดบริการสำหรับอาหารเที่ยงและอาหารเย็นครับ ยังไงลองหาข้อมูลเมนูพร้อมราคาเพิ่งเติมได้ที่นี่เลย https://www.kiniseko.com/dining

มื้อนี้ผมชอบนะ อาหารมันอร่อยมาก แล้วที่สำคัญคือเราไปกันช่วงเย็น เห็นวิวภูเขาไฟโยเตจากบริเวณ An Dining ได้ชัดมากๆ ก็ทานกันไป จิบเบียร์กันไป ดูภูเขาไฟโยเตจนกระทั่งหมดแสงสุดท้ายของวัน อาหารก็ทยอยเสิร์ฟมาเรื่อยๆ รสชาติมันดีมาก บรรยกาศมันดี ทุกอย่างเลยดีไปหมด

เหนื่อยมาทั้งวัน จึงไม่แปลกที่จะเอาร่างช้ำๆ ไปแช่ออนเซ็นครับ สำหรับคืนนี้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเรามาเจอกันวันพรุ่งนี้ กับกิจกรรมที่อัดแน่นทั้งวัน ก่อนที่จะบินกลับบ้านกัน ราตรีสวัสดิ์

สำหรับเช้าวันนี้ หลังจากที่เราทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราเลยซ่อมทริปโดยการย้อนกลับไปที่ Milk Kobo ครับ คือห่างจากตัว Ki Niseko ไม่ไกลเลย แป๊บเดียวถึง

พอไปถึง เห็นวิว ก็อดที่จะถ่ายรูปเล่นเก๋ๆ ไม่ได้ครับ ทางนี้ขนเสื้อผ้าจาก Superdry มาหลายตัวมาก เพราะตอนเช็คอุณหภูมิรู้เลยว่าเสื้อผ้าบางๆ เอาไม่ไหว แล้วคือเสื้อผ้าจาก Superdry ผมรู้สึกว่ามันเข้ากับประเทศนี้ดี ฮาๆๆ มันดีไซน์ออกมาได้ดูแบบผู้ดีอังกฤษมากๆ แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปความเป็นญี่ไว้อยู่ เสื้อผ้าบางตัวที่เอามายังมีภาษาญี่ปุ่นสกรีนติดมาด้วยอยู่เลย ฮาๆ แต่เอาล่ะ ยอมว่าเนื้อผ้าเกรดพรีเมี่ยมจริง ใส่สบาย ขนาดใสหนาๆ อยู่ไทยยังสบายเลย

มาต่อกันที่ Milk Kobo กันครับ คือ Milk Kobo เนี่ย เป็นฟาร์มนมขนาดใหญ่ของเมืองที่คุณจะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดครับ แต่ในช่วงที่เราไปมันเหลือแต่หิมะครับ พวกวัวมันเลยหลบเข้าบ้านกันหมด กลายเป็นพื้นที่กว้างๆ ให้เราได้ถ่ายรูปชิคๆ กัน แต่มาที่นี่ สิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือการลิ้มรสขนมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำมาจากนมสดครับ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ขนมเค้ก ชีส บลาๆ เห้ออออ ฟินจัง

คือที่นี่มีทั้งแบบสั่งกลับบ้าน แล้วก็ทานที่นี่เลย คือมีข่าววงในบอกมาว่า ซูครีมที่นี่อร่อยมาก  แล้วก็โยเกิร์ตที่นี่คุณภาพดีจนสภาพปักหลอดแล้วดูดได้เลย จะรออะไรสั่งลองกันเลย นี่เพิ่มชีสทาร์ทเข้าไปดู ฟินสุดๆ ฮาๆ

จบจากตรงนั้นไม่ไกลจะมี Shop ขายชาใกล้ๆ ซึ่งชาจาก Shop นี้เรียกว่ามีคุณภาพมากๆ ถ้าเกิดว่าอยู่ในวงการต้องรู้จักแน่นอน ที่นี่คือ Lupicia ครับ ของทุกอย่างคุณภาพมากๆ ถ้ามีโอกาสยังไงลองแวะมาดูครับ ไม่ไกลกันจาก Milk Kobo

ช่วงเที่ยงวันนี้เราจองเมนู TeppanYaki ไว้ที่ห้องอาหาร Out Of Africa ที่โรงแรม Toya Windsor บนเขาอีกฟากครับ ซึ่งการเดินทางก็จะใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง แต่เอาล่ะ คิดว่ามันต้องคุ้มแน่ๆ และมันมันก็คุ้มจริงๆ เมื่อเห็นตัวโรงแรม

สำหรับผมโรงแรมมันเหมือนเรือที่ไปติดอยู่บนยอดภูเขาครับ ลักษณะมันเหมือนเรือสำราญมากๆ และพอเข้าไปข้างในโรงแรม ก็ดูสำราญอย่างนั้นจริงๆ เราขึ้นไปที่ชั้น 11 ขึ้นไปห้องอาหาร Out Of Africa หลังจากที่ไปที่ห้องอาหารแล้ว ก็จะเห็นวิวสุดลุกหูลูกตาของทะเลาสาบโทยะแบบนี้

เมนูวันนี้จะเป็น หอยเชลล์ กับเนื้ออะไรสักอย่างที่ผมไม่ทราบ โดยทางทีมงานของ Emqurtier และ Emporium จัดมาให้ แต่เอาล่ะ เปิดตาเปิดใจ แล้วลองทานสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดู คือเชฟสุภาพมาก แล้วก็ค่อยๆ บรรจงโปรยผัก หั่นเนื้อ โรยกระเทียม โรยเกลือ และปิดฉากด้วยการเฉือนเนื้อเบาๆ ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เราได้ทาน ราคาก็หัวละ 13,500 เยน สำหรับรสชาติหรอ อร่อยลืม!

หลังจากอิ่มหนำสำราญ เรามีคิวไปร่องเรือกลงาทะเลสาบโทยะกันต่อครับ ซึ่งทะเลสาบโทยะเนี่ย เป็นทะเลสาบที่ไม่มีวันเป็นน้ำแข็งเหมือนทะเลสาบอื่น ก็เพราะว่า ที่นี่เกิดจากภูเขาไฟครับ ซึ่งมันยังคงร้อนระอุอยู่ด้านล่าง จึงทำให้ทำเลสาบที่นี่ยังคงมีน้ำอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน

เรานั่งเรือออกไป พร้อมกับคำพูดที่ว่า ซื้อขนมแล้วยื่นออกไปด้านนอกสิ เดี๋ยวจะมีนกนางนวลมาโฉบไปจากมือ ตอนแรกก็ไม่เข้า ใจ แต่พอเห็นคนกรี๊ดกันบ่อยๆ เท่านั้นล่ะ เอาบ้างเลย ก็ซื้อขนาดซอง ซองละ 200 เยนบนเรือครับ แล้วก็ยื่นมือออกไป ช่วงแรกๆ ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนช่วงที่อยู่กลางทะเลสาบนี่แหละ โหหหหห นกบินมาเต็มเลย ผมรู้สึกดีมากๆ ตอนนั้น รู้สึกเหมือนได้อยู่กับธรรมชาติจริงๆ ได้ให้ มีเสียงหัวเราะ มีความตื่นเต้นจากสิ่งที่ทำ รู้สึกเหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เอารูปโพสต์บนหน้าเฟสเพื่อนถาว่าบางปูหรอ เห้ออออ ไม่รู้จะตอบยังไง แต่เอาเป็นว่า มันทุ้มในใจเราก็พอ

ตัดมาที่เจ้า Sony A6300 คือเค้าใช้เซนเซอร์แบบใหม่ เป็น เซนเซอร์ CMOS ขนาด APS-C ความละเอียด 24.2 ล้าน ใช้วัสดุ “Copper Wiring” ทำให้ตัวรับแสงสามารถรับแสงได้มากยิ่งขึ้น พอมันรับแสงได้เยอะ สัญญาณรบกวนภาพ (Noise) มันก็ลดลง ทำให้คุณภาพของภาพถ่ายดีขึ้น และแม้ว่าจะใช้ Auto mode ถ่ายตลอดทุกภาพก็เถอะ เจอความ โฟกัสที่ค่อนข้างโอเคของกล้องบวกกับความเร็วของโฟกัสที่โฟกัสได้เร็วสุด 0.05 วินาที ถ่ายนกบินตอนเรือวิ่งได้ภาพออกมางี้เลย  ฮาๆ แล้ว แค่นี้ก็ดูเป็นมือโปรขึ้นมาแล้วนะผมว่า ไม่เชื่อก็ดูภาพที่ถ่ายดิ 

จากตรงนั้น เราเดินทางไปอีกที่ที่ครับ เราจะนั่งเคเบิลคาขึ้นไปชมวิวกัน โดยกระเช้าจะพาเราขึ้นไปยอดภูเขาไฟอุสุครับ เพื่อนๆ จะได้เห็นวิว 360 องศา

แล้วภูใกล้ๆ กันนั่น ก็มีภูเขาไฟที่กำลังเกิดขึ้นมาใหม่เมื่อประมาณปี ค.ศ.1944 ครับ เป็นภูเขาไฟโซวะซินซัน เกิดจากการสะเทือนของผิวโลกในปีนั้น ซึ่งระเบิดปะทุติดต่อกันนานถึง 2 ปีจนถึง ค.ศ.1946 เลย แต่ตอนนี้ก็สงบดี สามารถเข้าไปเที่ยวและเยี่ยมชมได้

ข้างบนมีกระดานหิมะให้เด็กเล่นรอผู้ปกครองด้วยนะ คือวันที่เราไปข้างบนติดลยหนึ่งคือแบบหน้าชา มือชา ไม่สามารถเอาออกจากเสื้อผ้าได้ มันจะมีจุด summit อยู่ไม่ไกลทางซ้าย เราคงไปไม่ไหว เลยเล่นหิมะกันแทน ฮาๆ

เที่ยวกันจนเย็นครับ และสำหรับมื้อค่ำสุดท้ายของ Hokkaido มื้อนี้ พี่ๆ พาเรามาทานร้าน CRAP Snax ครับ เป็นร้านอยู่หลังโรงแรม Hilton ของ Niseko เรียกว่าย่านอะไรผมจำไม่ได้ แต่เมนูวันนี้คือปูครับ  คือปู กุ้ง หอย และปลา อาหารทะเลหม้อไฟชัดๆ เรียกได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผมด้วยนะ ที่กินปู Hokkaido เนี่ย อร่อยยยย อร่อยลืมมม แงงงง

หลังจากทานเสร็จก็กลับที่พักเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้านเช้าวันพรุ่งนี้ครับ ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป ผมรู้สึกได้เข้าใกล้ญี่ปุ่นมากขึ้น ได้เห็นมุมมองและวัฒนธรรมอีกมุมของญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็น เพราะเมือง Niseko มีฝรั่งเยอะมาก กิจกรรมทุกกิจกรรมในทริปนี้ เรียกได้ว่าเด็ดๆ และควรค่ามากๆ รวมไปถึงอาหารทุกมื้อที่ Hokkaido มันอย่างที่เค้าพูดจริงๆ ว่ามาที่นี่ ทานอะไรก็อร่อย เดินทางกันจนมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคนที่ดูแลผมอย่างดีๆ คุณลุงคุณน้าคุณป้าคุณอาทุกท่านที่คอยคุยเป็นเพื่อน ของคุณทุกสิ่งดีๆ ที่เข้ามา ขอบคุณโอกาสดีๆ ผมบอกกับตัวเองไว้ว่าจะมา Hokkaido แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ครั้งนี้มากับผู้ใหญ่ ซ่าไม่ค่อยได้ แต่รับรองว่าผมจะกลับมาเที่ยวในแบบของผมอีกครั้งที่นี่ แล้วเจอกันระหว่างทาง

:: follow us ::

Youtube : https://goo.gl/rVqoVe
Fan Page : https://goo.gl/kDE9eh
Facebook : https://goo.gl/S42XZq
Instagram : https://goo.gl/60tM0B
Twitter : https://goo.gl/wx2I34
Pinterest : https://goo.gl/P1FsxN
Google+ : https://goo.gl/uQrGS9
Website : https://www.palapilii.com/

#palapilii
#wanderlust
#YOLO

Leave a Reply

*